| |
มนุษย์สังเสทชะกำเนิด   |  

[นางปทุมวดี ประวัติพระอุบลวรรณาเถรี]

พระอุบลวรรณาเถรี ที่มีชื่ออย่างนี้ก็เพราะมีผิวพรรณเหมือนห้องดอกอุบลขาบ

มีเรื่องเล่าว่า พระอุบลวรรณาเถรีนั้น ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ได้ถือปฏิสนธิในครอบครัวหนึ่งในกรุงหังสวดี ภายหลังวันหนึ่ง ได้ไปสู่สำนักของสมเด็จพระบรมศาสดาพร้อมกับมหาชน กำลังฟังธรรมอยู่ เห็นสมเด็จพระบรมศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้มีฤทธิ์ จึงถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขเป็นเวลา ๗ วัน แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น

[นางทำกุศลจนตลอดชีวิต แล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์]

ในสมัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้ถือปฏิสนธิในราชนิเวศน์ของพระราชาพระนามว่า กิกี แห่งกรุงพาราณสี เป็นพระธิดาในระหว่างพระพี่น้องนาง ๗ พระองค์ ได้ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ทำสถานที่บริเวณถวายภิกษุสงฆ์ เมื่อเสด็จทิวงคตแล้วได้บังเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้นแล้วไปสู่มนุษยโลกอีก บังเกิดในถิ่นของคนทำงานด้วยมือตนเอง [รับจ้างแรงงาน] เลี้ยงชีพในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

วันหนึ่ง นางไปสู่กระท่อมปลายนา ระหว่างทางเห็นดอกปทุมบานแต่เช้าตรู่ในสระแห่งหนึ่ง จึงลงไปเก็บดอกปทุมนั้นและเก็บใบของปทุมเพื่อใส่ข้าวตอกด้วย แล้วไปเด็ดรวงข้าวสาลีใกล้คันนา นั่งคั่วข้าวตอกอยู่ในกระท่อม นับได้ ๕๐๐ ดอก

ขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติที่ภูเขาคันธมาทน์ มายืนอยู่ไม่ไกลจากนางนัก นางแลเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือดอกปทุมพร้อมทั้งข้าวตอกลงจากกระท่อม บรรจงใส่ข้าวตอกลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วปิดบาตรของท่านด้วยดอกปทุมถวาย

ครั้นเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเดินไปได้หน่อยหนึ่ง นางก็คิดว่า ธรรมดาเหล่าบรรพชิตไม่ต้องการดอกไม้ จำเราจักไปเอาดอกไม้มาประดับ แล้วไปเอาดอกปทุมจากมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วคิดอีกว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการดอกไม้ไซร้ ท่านจะไม่ให้วางดอกปทุมนั้นไว้บนบาตร พระผู้เป็นเจ้าคงจักต้องการดอกไม้เป็นแน่แท้ แล้วจึงน้อมดอกปทุมไปวางไว้บนบาตรของท่านอีก พร้อมกับขอขมาแล้วทำความปรารถนาว่า พระคุณท่านเจ้าข้า ด้วยผลานิสงส์ของข้าวตอกเหล่านี้ ขอให้ดิฉันจงมีบุตรเท่าจำนวนข้าวตอก และด้วยผลานิสงส์ของดอกปทุม ขอดอกปทุมจงผุดทุกย่างก้าวของดิฉัน ในทุกสถานที่ดิฉันเกิดแล้วเถิดเจ้าข้า

ขณะที่นางกำลังมองดูอยู่นั่นเอง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ วางดอกปทุมนั้นไว้สำหรับเช็ดเท้าใกล้บันไดที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเหยียบ ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ ด้วยผลทานนั้น เมื่อนางจุติจากภพนั้นแล้วได้ถือปฏิสนธิในเทวโลก

จำเดิมแต่เวลาที่นางเกิด ดอกปทุมขนาดใหญ่ก็ผุดขึ้นทุก ๆ ย่างก้าวของนาง นางจุติจากเทวโลกนั้นแล้ว ก็บังเกิดในห้องของดอกปทุม ในสระปทุมแห่งหนึ่งใกล้เชิงเขาที่ดาบสองค์หนึ่งอาศัยอยู่

พอรุ่งเช้า ดาบสนั้นได้เดินไปสู่สระแต่เช้าตรู่เพื่อล้างหน้า เห็นดอกบัวนั้นแล้วก็คิดว่า ดอกบัวนี้ใหญ่กว่าดอกอื่น ๆ ดอกอื่น ๆ ต่างบานแย้มในเวลาเช้าตรู่ แต่ดอกบัวนี้ยังตูมอยู่ คงจะมีเหตุในดอกบัวนั้นเป็นแน่แท้ แล้วจึงลงสู่สระน้ำ เอื้อมมือไปจับดอกนั้น พอดาบสนั้นจับเท่านั้น ดอกปทุมก็แย้มบานออก ดาบสเห็นเด็กหญิงนอนอยู่ภายในห้องดอกปทุม ก็ได้ความสิเนหาดังลูกสาวในไส้ นับแต่พบเห็นทีเดียว จึงได้อุ้มนางไปสู่บรรณศาลาพร้อมทั้งดอกปทุมแล้วให้นอนบนเตียง

ขณะนั้น ด้วยบุญญานุภาพของนาง น้ำนมก็บังเกิดที่นิ้วหัวแม่มือของพระดาบสพระดาบสนั้นเมื่อดอกปทุมนั้นเหี่ยวเฉาลง ก็นำดอกปทุมอื่นมาแทนที่เรื่อยไป ให้เด็กหญิงนั้นหลับนอนอยู่บนดอกปทุมเรื่อยมา จนเด็กหญิงนั้นเติบใหญ่ นับตั้งแต่เด็กหญิงนั้นสามารถวิ่งเล่นไปมาได้ ดอกปทุมก็ผุดขึ้นทุก ๆ ย่างก้าวของนาง ผิวพรรณร่างกายของนางก็เป็นเหมือนสีดอกบัวบก เด็กหญิงนั้นแม้จะยังไม่เจริญวัยเป็นสาวเต็มที่นัก แต่ก็มีผิวพรรณงดงามยิ่งกว่าผิวพรรณของทวยเทพ ยิ่งกว่าผิวพรรณของมนุษย์เสียอีก ในเวลาที่บิดา [พระดาบส] ไปแสวงหาผลาผล เด็กหญิงก็ถูกทิ้งไว้ที่บรรณศาลาแต่เพียงลำพัง

เมื่อนางเจริญวัยเติบโตเป็นสาวแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบิดาไปแสวงหาผลาผล พรานป่าคนหนึ่งได้ผ่านมาเห็นนางเข้า ก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่า เหล่ามนุษย์ผู้มีรูปร่างงดงามอย่างนี้ไม่มี จำเราจักตรวจสอบนางดู แล้วนั่งรอการมาของพระดาบส เมื่อบิดากลับมาแล้ว นางก็เดินสวนทางไปรับสาแหรกจากมือของพระดาบสนั้นมาด้วยตัวเอง แล้วแสดงข้อวัตรที่ตนควรทำแก่พระดาบสซึ่งนั่งลงแล้ว

ครั้งนั้น นายพรานป่าก็รู้ว่านางเป็นมนุษย์ จึงไปกราบพระดาบสแล้วนั่งลง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง พระดาบสก็ต้อนรับเขาด้วยผลหมากรากไม้กับน้ำดื่ม แล้วถามว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านจักพักอยู่ ณ ที่นี้ก่อนหรือจักไปเลย เขาตอบว่า จักไปเลยขอรับ อยู่ในที่นี้จักทำอะไรได้ พระดาบสขอร้องว่า เหตุที่ท่านเห็นอยู่นี้อย่าได้ไปพูดให้ใครฟังเลยนะ เขารับว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ประสงค์ก็จะพูดไปเพราะเหตุไรเล่า แล้วก็ไหว้พระดาบส ได้เดินไปพร้อมกับทำกิ่งไม้ แสดงรอยเท้า และทำเครื่องหมายไว้ที่ต้นไม้ เพื่อต้องการที่จะมาอีก แล้วก็หลีกไป

นายพรานป่านั้นไปสู่กรุงพาราณสีแล้วเข้าเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามว่า เหตุไรเจ้าจึงมาหาเรา เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระบาทเป็นพรานป่าของพระองค์ ได้พบอิตถีรัตนะอันน่าอัศจรรย์ที่เชิงเขา จึงมาเฝ้า ฯ พระพุทธเจ้าข้า แล้วทูลเล่าเรื่องทั้งหมดถวาย

พระราชาสดับคำของนายพรานป่านั้นแล้วก็รีบเสด็จไปสู่เชิงเขานั้น ตั้งค่ายพักในที่ไม่ไกล แล้วพร้อมด้วยนายพรานป่าและเหล่าราชบุรุษอื่น ๆ เสด็จไปสู่ที่นั้น เวลานั้นพระดาบสกำลังนั่งฉันอาหารอยู่ ก็ทรงอภิวาทและทำปฏิสันถาร แล้วประทับนั่งอยู่ พระราชาทรงวางเครื่องบริขารสำหรับนักบวชไว้แทบเท้าพระดาบส ตรัสว่า พระคุณท่านเจ้าข้า พวกเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วก็จะไป

พระดาบสทูลว่า โปรดเสด็จไปเถิด มหาบพิตร พระราชาตรัสว่า พระคุณท่านเจ้าข้า ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะไป ได้ทราบว่า บริษัทที่เป็นข้าศึกอยู่ใกล้พระผู้เป็นเจ้า มีอยู่ บริษัทนั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้ทำให้การปฏิบัติเนิ่นช้าสำหรับนักบวชทั้งหลาย ขอบริษัทนั้นจงไปเสียกับข้าพเจ้าเถิดขอรับ พระดาบสทูลว่า ขึ้นชื่อว่า จิตใจของเหล่ามนุษย์ร้ายนัก หญิงผู้นี้จักอยู่กลางหมู่ผู้คนมาก ๆ อย่างไรได้ พระราชาตรัสปลอบว่า พระคุณท่านเจ้าข้า นับแต่ข้าพเจ้าชอบใจนาง ก็จะตั้งนางไว้ในตำแหน่งหัวหน้าของคนอื่น ๆ และจักทำนุบำรุงเป็นอย่างดี พระดาบสฟังพระราชดำรัสแล้ว ก็ร้องเรียกธิดาโดยชื่อที่ตั้งไว้ครั้งยังเล็ก ๆ ว่า ลูกปทุมวดี จ๋า

โดยเรียกคำเดียวเท่านั้น นางก็ออกมาจากบรรณศาลายืนไหว้บิดาอยู่ บิดาจึงกล่าวกะนางว่า ลูกเอ๋ย เจ้าเจริญวัยเป็นสาวแล้ว คงจะอยู่ที่นี้ได้ไม่ผาสุก นับแต่พระราชาทรงพบเจ้าแล้ว เจ้าจงไปกับพระราชาเสียเถิดนะลูกรัก นางรับคำบิดาว่า เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ไหว้บิดาแล้วก็เดินไปพรางร้องไห้ไป พระราชาทรงพระดำริว่า จำเราจะยึดจิตใจบิดาของหญิงผู้นี้ไว้ จึงยกนางขึ้นวางไว้บนกองกหาปณะแล้วทรงทำอภิเษก

จำเดิมแต่พระราชาทรงพานางมาถึงนครของพระองค์แล้ว ก็ไม่ทรงเหลียวแลสตรีเหล่าอื่นเลย ทรงอภิรมย์อยู่กับนางเท่านั้น เหล่าสตรีอื่นก็อิจฉาริษยา ประสงค์จะทำนางให้แตกกันกับพระราชา จึงพากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า หญิงผู้นี้มิใช่ชาติมนุษย์ดอกเพค่ะ ดอกปทุมทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในที่พวกมนุษย์ท่องเที่ยวไป พระองค์เคยพบแล้วมิใช่หรือ หญิงผู้นี้ต้องเป็นยักษิณีเป็นแน่ โปรดขับไล่นางไปเสียเถิดเพค่ะ

พระราชาทรงสดับคำของสตรีเหล่านั้นแล้ว ก็ได้แต่ทรงนิ่งอยู่ บังเอิญสมัยนั้น เมืองทางชายแดนได้ก่อการกำเริบ [จราจล] พระนางปทุมวดีก็ทรงพระครรภ์แก่ เพราะฉะนั้น พระราชาจึงทรงคงพระนางไว้ในพระนคร แล้วเสด็จไปเมืองชายแดน ครั้งนั้น สตรีเหล่านั้นจึงติดสินบนหญิงรับใช้ของพระนางพร้อมกับสั่งว่า เจ้าจงนำทารกของพระนางที่พอคลอดแล้วออกไป จงเอาท่อนไม้ท่อนหนึ่งทาเลือดแล้ววางไว้ใกล้ ๆ แทน

ไม่นานนัก พระนางปทุมวดีก็ประสูติพระมหาปทุมกุมารอยู่ในพระครรภ์ออกมาเพียงพระองค์เดียว นอกนั้นทารกอีก ๔๙๙ พระองค์ก็บังเกิดเป็นสังเสทชะ ในขณะที่พระมหาปทุมกุมารออกจากครรภ์ของพระมารดาแล้วบรรทมอยู่ ขณะนั้น หญิงรับใช้ของพระนางรู้ว่า พระนางปทุมวดีนี้ยังไม่ได้สติ จึงเอาท่อนไม้ท่อนหนึ่งทาเลือดแล้ววางไว้ใกล้ ๆ แล้วก็ให้สัญญาณนัดหมายแก่สตรีเหล่านั้น สตรีทั้ง ๕๐๐ คนแต่ละคนก็รับทารกคนละองค์ ส่งไปยังสำนักของเหล่าช่างกลึง ให้นำกล่องทั้งหลาย มาแล้วให้ทารกที่แต่ละคนรับไว้นอนในกล่องนั้น ประทับตราเครื่องหมายไว้ภายนอก

ฝ่ายพระนางปทุมวดี เมื่อรู้สึกพระองค์แล้วก็ถามหญิงรับใช้นั้นว่า ข้าคลอดบุตรหรือจ๊ะแม่นาง หญิงผู้นั้นพูดขู่พระนางว่า พระนางจักได้ทารกแต่ไหนเล่า มีแต่ทารกที่ออกจากพระครรภ์ของพระนางอันนี้ แล้วก็วางท่อนไม้ที่เปื้อนเลือดไว้เบื้องพระพักตร์ พระนางทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็เสียพระหฤทัย ตรัสว่า เจ้าจงรีบผ่าท่อนไม้นั้นแล้วเอาออกไปทิ้งเสีย ถ้าใครเขาเห็นเข้า ก็จะอับอายขายหน้าเขา หญิงผู้นั้นฟังพระราชเสาวนีย์แล้วก็ทำเป็นหวังดี ได้จัดการผ่าท่อนไม้แล้วก็ใส่เตาไฟเผาเสียสิ้น

ฝ่ายพระราชาปราบข้าศึกที่ชายแดนเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับมา ทรงรอพระฤกษ์ที่จะเสด็จเข้าเมือง จึงตั้งค่ายพักอยู่นอกพระนคร ครั้งนั้น สตรี ๕๐๐ นางก็มาต้อนรับพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์คงจักไม่ทรงเชื่อข้าพระบาททั้งหลายว่า ที่ข้าพระบาทกราบทูลประหนึ่งไม่มีเหตุ ขอได้โปรดสอบถามหญิงรับใช้ของพระมเหสีดู พระเทวีประสูติเป็นท่อนไม้เพค่ะ พระราชาทรงสอบสวนเหตุนั้นแล้วทรงพระดำริว่า พระนางคงจักไม่ใช่ชาติมนุษย์เป็นแน่ ดังนี้แล้ว จึงทรงขับไล่พระนางออกไปจากพระราชนิเวศน์

พอพระนางเสด็จออกพระราชนิเวศน์ไปเท่านั้น ดอกปทุมทั้งหลายก็อันตรธานไป พระสรีระก็มีผิวพรรณแปลกไป พระนางทรงดำเนินไปในท้องถนนเพียงพระองค์เดียว ครั้งนั้น หญิงชราผู้หนึ่ง มองเห็นพระนางแล้วก็เกิดสิเนหาพระนางประดุจว่าเป็นธิดา จึงพูดว่า แม่คุณจะไปไหนจ๊ะ พระนางตรัสว่า ดิฉันเป็นคนจร กำลังเที่ยวเดินหาที่อยู่จ้ะ หญิงชราจึงพูดว่า มาอยู่เสียที่นี้ซิจ๊ะ แล้วให้ที่อยู่แก่พระนาง จัดแจงอาหารให้เสวย

เมื่อพระนางอยู่ในที่นั้นโดยทำนองนี้ สตรี ๕๐๐ คนนั้นก็ร่วมใจกันกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เมื่อพระองค์ประทับค่ายพักแรม พวกข้าพระบาทมีความปรารถนาว่า เมื่อพระสมมติเทพของพวกข้าพระบาทชนะสงครามกลับมา จักทรงเล่นกีฬาทางน้ำ เป็นพลีกรรมแก่เทวดาประจำแม่คงคา ขอพระองค์ผู้สมมติเทพโปรดประกาศให้ทราบเรื่องนี้เถิดเพค่ะ พระราชาทรงดีพระหฤทัยด้วยคำกราบทูลของสตรีเหล่านั้น จึงเสด็จไปทรงกีฬาทางน้ำในแม่พระคงคา หญิงเหล่านั้นถือกล่องที่แต่ละคนรับไว้อย่างมิดชิดไปยังแม่น้ำห่มคลุมเพื่อปกปิดกล่องเหล่านั้น ทำเป็นตกน้ำแล้วทิ้งกล่องทั้งหลายเสียในแม่น้ำคงคา กล่องเหล่านั้นได้ลอยมารวมกันทั้งหมดแล้วติดอยู่ในข่ายที่เขาขึงไว้ใต้กระแสน้ำ

ครั้นเมื่อพระราชาทรงกีฬาทางน้ำแล้วเสด็จขึ้นมา ราชบุรุษทั้งหลายก็ยกตาข่ายขึ้นเห็นกล่องเหล่านั้น จึงนำไปสู่ราชสำนัก พระราชาทอดพระเนตรเห็นกล่องเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า มีอะไรอยู่ในกล่อง พอเขากราบทูลว่า ยังไม่ทราบพระเจ้าข้า ท้าวเธอจึงรับสั่งให้เปิดกล่องเหล่านั้นสำรวจดู ทรงให้เปิดกล่องใส่พระมหาปทุมกุมารเป็นกล่องแรก ในวันนั้น พระกุมารทั้งหมดบรรทมอยู่ในกล่องทุกองค์ น้ำนมก็บังเกิดที่นิ้วหัวแม่มือของแต่ละองค์ด้วยบุญฤทธิ์ ท้าวสักกเทวราชสั่งให้จารึกอักษรไว้ที่ข้างในกล่อง เพื่อพระราชาจะได้ไม่ทรงสงสัยว่า พระกุมารเหล่านี้ประสูติในพระครรภ์ของพระนางปทุมวดี เป็นโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสี ครั้งนั้น สตรี ๕๐๐ นางซึ่งเป็นศัตรูของพระนางปทุมวดี ได้ใส่พระกุมารเหล่านั้นไว้ในกล่องแล้วโยนลงน้ำ ขอพระราชาโปรดทราบเหตุนี้ พอเปิดกล่อง พระราชาก็ทรงอ่านอักษรทั้งหลายแล้วทอดพระเนตรเห็นทารกทั้งหลาย ทรงยกพระมหาปทุมกุมารขึ้น ตรัสสั่งว่า จงรีบเทียมรถจัดม้าไว้ วันนี้เราจักเข้าไปในพระนคร ทำให้เป็นที่รักสำหรับแม่บ้านบางจำพวก แล้วเสด็จขึ้นปราสาท ทรงวางถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ไว้บนคอช้าง โปรดให้ตีกลองป่าวประกาศว่า ผู้ใดพบพระนางปทุมวดี ผู้นั้นจงรับถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะไป

ฝ่ายพระนางปทุมวดีทรงได้ยินคำประกาศนั้นแล้ว ได้ให้สัญญานัดหมายแก่มารดา [บุญธรรม] ว่า แม่จ๋า จงรับถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะจากคอช้างเถิด หญิงชรากล่าวว่า ข้าไม่อาจรับทรัพย์ขนาดนั้นได้ดอก พระนางแม้มารดาจะกล่าวปฏิเสธถึง ๒-๓ ครั้ง ก็ตรัสว่า แม่พูดอะไร รับไว้เถิดแม่ หญิงชราคิดว่า ลูกสาวของเราคงพบพระนางปทุมวดี เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า จงรับไว้เถิดแม่ หญิงชรานั้นจึงจำใจเดินไปรับถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ

ขณะนั้น ผู้คนทั้งหลายพากันถามหญิงชรานั้นว่า คุณแม่จ๊ะ คุณแม่ได้พบพระนางปทุมวดีเทวีหรือ ? หญิงชราตอบว่า ข้าไม่พบดอก แต่ลูกสาวของข้าพบ ผู้คนเหล่านั้นถามว่า ก็ลูกสาวของคุณแม่อยู่ที่ไหนเล่า แล้วก็เดินไปกับหญิงชรานั้น จำพระนางปทุมวดีได้ก็พากันหมอบกราบอยู่แทบยุคลบาท ในเวลานั้น หญิงชรานั้นก็ชี้ว่า นี้พระนางปทุมวดีเทวี แล้วกล่าวว่า ผู้หญิงนี้ทำกรรมหนักหนอ เป็นถึงพระมเหสีของพระราชาอย่างนี้ ยังอยู่ปราศจากการอารักขา ในสถานที่เห็นปานนี้

ราชบุรุษเหล่านั้นเอาม่านขาววงล้อมเป็นนิเวศน์สำหรับพระนางปทุมวดี แล้วตั้งกองอารักขาไว้ใกล้ประตูพระนคร แล้วกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทรงส่งสุวรรณสีวิกา พระวอทองไปรับ พระนางรับสั่งว่า เราจะไม่ไปอย่างนี้ เมื่อพวกท่านลาดเครื่องลาดอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ระหว่างทางตั้งแต่สถานที่อยู่ของเรา จนถึงพระราชนิเวศน์ ให้ติดเพดานผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทองไว้ข้างบน แล้วส่งสรรพอาภรณ์เพื่อประดับไป เราจึงจักเดินไปด้วยเท้า ชาวพระนครจักเห็นสมบัติของเราอย่างนี้ พระราชาตรัสว่า พวกท่านจงทำตามความชอบใจของปทุมวดีเถิด

ลำดับนั้น พระนางปทุมวดีทรงพระดำริว่า เราจักประดับเครื่องประดับทุกอย่างเดินไปสู่พระราชนิเวศน์ แล้วเสด็จเดินทาง ครั้งนั้น ดอกปทุมทั้งหลายก็ชำแรกเครื่องลาดอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ผุดขึ้นในที่ทุกย่างก้าวพระบาทของพระนาง พระนางครั้นแสดงสมบัติของพระองค์แก่มหาชนแล้วก็เสด็จขึ้นสู่พระราชนิเวศน์ โปรดประทานเครื่องลาดอันวิจิตรทั้งหมดเป็นค่าเลี้ยงดูแก่หญิงชรานั้น

พระราชารับสั่งให้เรียกสตรี ๕๐๐ นางมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนเทวี เราให้หญิงเหล่านี้เป็นทาสีของเจ้า พระนางทูลว่า ดีละเพค่ะ หม่อมฉันขอให้ทรงประกาศให้ชาวเมืองทั่วไปได้ทราบว่า หญิงเหล่านี้ทรงพระราชทานแก่หม่อมฉันแล้ว พระราชาก็โปรดให้ตีกลองร้องป่าวประกาศว่า หญิง ๕๐๐ นางผู้ประทุษร้ายพระนางปทุมวดี เราให้เป็นทาสีของพระนางพระองค์เดียวเท่านั้น พระนางปทุมวดีนั้นทรงทราบว่า ในนครทั่วไป กำหนดรู้ว่า หญิงเหล่านั้นเป็นทาสีแล้ว จึงทูลถามพระราชาว่า ข้าแต่เทวะ หม่อมฉันจะทำทาสีของหม่อมฉันให้เป็นไท ได้ไหมเพคะ พระราชารับสั่งว่า เทวี เจ้าต้องการก็ได้สิ

พระนางกราบทูลว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ขอได้ทรงโปรดให้เรียกคนตีกลองป่าวประกาศสั่งให้เขาตีกลองป่าวประกาศอีกว่า พวกทาสีที่พระองค์พระราชทานแก่พระนางปทุมวดี พระนางทำให้เป็นไททั้งหมด ๕๐๐ นางแล้ว เมื่อสตรีเหล่านั้นเป็นไทแล้ว พระนางก็มอบพระโอรส ๔๙๙ พระองค์ให้สตรีเหล่านั้นเลี้ยงดู ส่วนพระนางเองทรงรับเลี้ยงดูเฉพาะพระมหาปทุมกุมารเท่านั้น

เมื่อถึงเวลาที่พระราชกุมารเหล่านั้นทรงเล่นได้ พระราชาก็โปรดให้สร้างสนามเด็กเล่นต่าง ๆ ไว้ในพระราชอุทยาน จนพระราชกุมารเหล่านั้นมีพระชันษาได้ ๑๖ พรรษา ทุกพระองค์ก็พร้อมกันลงเล่นในมงคลโบกขรณี ที่ปกคลุมด้วยปทุมในพระราชอุทยาน ทรงเห็นปทุมดอกใหม่บาน ดอกเก่ากำลังหล่นจากขั้ว ก็พิจารณาเห็นว่า

“ดอกปทุมนี้ไม่มีใจครอง ยังประสบชราเห็นปานนี้ ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงสรีระของพวกเราเล่า แม้สรีระนี้ก็คงจักมีคติอย่างนี้เหมือนกัน”

แล้วทรงยึดเอาเป็นอารมณ์ ทุกพระองค์ได้บังเกิดปัจเจกโพธิญาณ แล้วพากันลุกขึ้น ประทับนั่งขัดสมาธิ ณ กลีบดอกปทุม ขณะนั้น พวกราชบุรุษที่ไปกับพระราชกุมารเหล่านั้น รู้ว่าสายมากแล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอได้โปรดทราบเวลาของพระองค์เถิด พระราชกุมารทั้งหมดนั้นก็นิ่งเสีย ราชบุรุษเหล่านั้นก็พากันไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่เทวะ พระราชกุมารทั้งหลายประทับนั่งในกลีบดอกปทุม เมื่อพวกข้าพระบาทกราบทูล ก็ไม่ทรงเปล่งพระวาจาเลย พระราชาตรัสว่า พวกเจ้าจงให้พวกเขานั่งตามชอบใจเถิด พระราชกุมารเหล่านั้นได้รับอารักขาตลอดคืนยังรุ่ง ก็ประทับนั่งในกลีบดอกปทุมทำนองนั้นนั่นแหละจนอรุณเบิกฟ้า พวกราชบุรุษก็กลับไป รุ่งขึ้นจึงพากันเข้าไปเฝ้าทูลว่า ขอเทวะทั้งหลาย โปรดทราบเวลาเถิด พระเจ้าข้า ทุกพระองค์ตรัสว่า พวกเราไม่ใช่เทวะ พวกเราชื่อว่า ปัจเจกพุทธะ พวกเขากราบทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้าทั้งหลาย พระองค์ตรัสพระดำรัสหนัก พระเจ้าข้า ธรรมดาว่า พระปัจเจกพุทธะทั้งหลายไม่เป็นเช่นพระองค์ดอก ต้องมีหนวดเครา ๒ องคุลี มีบริขาร ๘ สวมพระกายสิ พระเจ้าข้า พระราชกุมารเหล่านั้นเอาพระหัตถ์ขวาลูบพระเศียร ทันใดนั้นเอง เพศคฤหัสถ์ก็อันตรธานหายไป กลายเป็นผู้มีบริขาร ๘ สวมพระวรกายแล้วก็เสด็จเหาะไปสู่เงื้อมเขานันทมูลกะ ทั้งที่มหาชนกำลังมองดูอยู่นั่นแล

ฝ่ายพระนางปทุมวดีก็ทรงเศร้าโศกพระหฤทัยว่า เรามีลูกมาก แต่ก็จำพลัดพรากจากกันไป แล้วก็เสด็จทิวงคตด้วยพระโรคนั้นนั่นแล บังเกิดในสถานของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีพ ในหมู่บ้านใกล้ประตูพระนครราชคฤห์ ต่อมา เมื่อนางเจริญเติบโตเป็นสาว มีเหย้าเรือนแล้ว วันหนึ่ง กำลังนำข้าวยาคูไปให้สามี ก็แลเห็นพระปัจเจกพุทธะ ๘ องค์อยู่ในจำนวนบุตรเหล่านั้นของตน ซึ่งกำลังเหาะไปในเวลาแสวงหาอาหาร จึงรีบไปบอกสามีว่า เชิญดูพระผู้เป็นเจ้าปัจเจกพุทธะ ช่วยนิมนต์ท่านมา เราจักถวายอาหาร สามีพูดว่า ขึ้นชื่อว่า พวกนก ก็บินเที่ยวไปอย่างนั้น นั่นไม่ใช่พระปัจเจกพุทธะดอก ในขณะนั้น พระปัจเจกพุทธะเหล่านั้นก็ลงในที่ไม่ไกลจากคนทั้ง ๒ นั้น ซึ่งกำลังพูดจากันอยู่

หญิงนั้นก็ถวายโภชนะคือข้าวสวยและกับข้าวสำหรับตนในวันนั้น แด่พระปัจเจกพุทธะเหล่านั้นแล้วนิมนต์ว่า พรุ่งนี้ ท่านทั้ง ๘ ขอได้โปรดรับอาหารของดิฉันด้วยเถิด พระปัจเจกพุทธะเหล่านั้นกล่าวว่า ดีละ ท่านอุบาสิกา ท่านมีสักการะและมีอาสนะ ๘ ที่เท่านั้น ก็พอเห็นพระปัจเจกพุทธะองค์อื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ก็จงคงจิตใจของท่านไว้ วันรุ่งขึ้น นางก็ปูอาสนะไว้ ๘ ที่ นั่งจัดสักการะสำหรับพระปัจเจกพุทธะ ๘ องค์ พระปัจเจกพุทธะทั้งหลายที่รับนิมนต์ไว้จึงให้สัญญานัดหมายแก่เหล่าพระปัจเจกพุทธะนอกนั้นว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย วันนี้อย่าไปที่อื่น ทั้งหมดจงช่วยกันสงเคราะห์โยมมารดาของพวกท่านเถิด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายได้ฟังคำของพระปัจเจกพุทธะ ๘ องค์นั้นแล้ว ทุกองค์ก็เหาะไปพร้อมกัน ปรากฏอยู่ที่ประตูเรือนของมารดา แม้นางเห็นพระปัจเจกพุทธะจำนวนมากกว่าสัญญาที่ได้รับคราวแรก ก็มิได้หวั่นไหว นิมนต์ทุกองค์เข้าไปในเรือนให้นั่งเหนืออาสนะ เมื่อพระปัจเจกพุทธะกำลังนั่งตามลำดับ องค์ที่ ๙ ก็เนรมิตอาสนะเพิ่มขึ้นอีก ๘ ที่ ตนเองนั่งเหนืออาสนะที่ไกลออกไป เรือนก็ขยายตามเท่าที่อาสนะเพิ่มขึ้น เมื่อพระปัจเจกพุทธะทุกองค์นั่งอย่างนั้นแล้ว หญิงนั้นก็ถวายสักการะที่จัดไว้สำหรับพระปัจเจกพุทธะ ๘ องค์จนเพียงพอเท่าพระปัจเจกพุทธะ ๕๐๐ องค์ แล้วจึงนำเอาดอกอุบลขาบทั้ง ๘ ดอกที่อยู่ในมือวางไว้แทบเท้าของพระปัจเจกพุทธะที่นิมนต์มาเท่านั้น กล่าวอธิษฐานว่า ท่านเจ้าข้า ขอผิวกายของดิฉันจงเป็นประดุจผิวภายในห้องดอกอุบลขาบเหล่านี้ ในสถานที่ทุกแห่งที่ดิฉันเกิดแล้วเถิดเจ้าข้า พระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย ได้ทำอนุโมทนาแก่มารดาแล้วก็เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ แม้หญิงนั้นทำกุศลจนตลอดชีวิต จุติจากภพนั้นแล้วไปบังเกิดในเทวโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็ถือปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี ก็เพราะนางมีผิวพรรณเสมอด้วยดอกอุบลขาบ บิดามารดาจึงขนานนามของนางว่า อุบลวรรณา

เมื่อเวลานางเจริญวัย พระราชาทั่วชมพูทวีปก็ส่งคนไปสู่สำนักของเศรษฐีเพื่อขอนาง ไม่มีราชาพระองค์ใดเลยที่จะไม่ส่งคนไปขอนาง ลำดับนั้น เศรษฐีคิดว่า เราไม่อาจยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทุกคนได้ จำเราจะทำอุบายสักอย่างหนึ่ง จึงเรียกธิดามาถามว่า เจ้าบวชได้ไหมลูก เพราะเหตุที่นางเกิดในภพสุดท้าย คำของบิดานั้นจึงเป็นเหมือนน้ำมันเคี่ยว ๑๐๐ ครั้งราดลงบนศีรษะ เพราะเหตุนั้น นางจึงกล่าวกะบิดาว่า บวชได้จ้ะพ่อ เศรษฐีจึงทำสักการะแก่นางแล้วนำไปสู่สำนักของนางภิกษุณี แล้วให้บวช เมื่อนางบวชใหม่ ๆ ถึงเวร [วาระ] ในโรงพระอุโบสถ นางตามประทีปกวาดโรงพระอุโบสถ ถือเอานิมิตที่เปลวประทีป ตรวจดูบ่อย ๆ ก็ทำฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้ฌานบังเกิดขึ้น แล้วทำฌานนั้นให้เป็นบาทเจริญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตในที่สุด พร้อมด้วยพระอรหัตผลนั่นแล ก็เป็นผู้ช่ำชองชำนาญในการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ

ต่อมา ในวันที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทำปาฏิหาริย์ ท่านก็บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์ถวายเอง เพค่ะ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทำเหตุอันนี้ให้เป็นอัตถุปปัตติ [เหตุเกิดเรื่อง] ประทับนั่ง ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อจะทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระเถรีนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้มีฤทธิ์แลรุ.๗๑๔

โปกขรสาติพราหมณ์

พราหมณ์ผู้นี้เป็นคนมีบุญมาก จุติมาจากเทวโลก เขารังเกียจการเกิดในครรภ์มารดา จึงทำกุศลแล้วปรารถนาไปเกิดในดอกบัวหลวง ในสระใหญ่ข้างป่าหิมพานต์ แต่เขาเกิดมาเป็นทารกก่อน ไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่ทันทีเหมือนนางอัมพปาลี ดาบสรูปหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้สระนั้นเห็นดอกบัวดอกใหญ่ผิดปกติ และมีลักษณะผิดไปจากดอกอื่น ๆ คือ แม้บัวดอกอื่นจะแย้มบานและร่วงโรยไปแล้วก็ตาม แต่บัวดอกนี้ยังคงตูมอยู่ ไม่บานเสียที จึงลงไปเด็ด พอดาบสเด็ดดอกบัวขาดจากก้านเท่านั้น ดอกบัวก็แย้มบาน ปรากฏมีทารกรูปงามนอนอยู่ภายในดอกบัวนั้น ดาบสได้เลี้ยงดูทารกและอบรมสั่งสอนศิลปวิทยาให้ กุมารนั้นมีปัญญามาก จึงเรียนเวททั้ง ๓ จบตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพอพระทัยในความสามารถของกุมารนั้น จึงทรงพระราชทานเมืองชื่อว่า อุกกัฏฐนคร ให้เขาปกครอง ชาวนครได้ขนานนามเขาว่า โปกขรสาติพราหมณ์ เพราะเหตุที่เขาเกิดในสระโปกขรณี

ได้ยินว่า ผิวกายของพราหมณ์นั้นเป็นเช่นกับดอกบัวขาบ [สีเหมือนดอกบัวขาว] งามประดุจเสาระเนียดเงินที่เขาปักไว้ในเทวนคร ส่วนศีรษะของเขามีสีดำประดุจสำเร็จด้วยแก้วมรกต แม้หนวดก็ปรากฏประหนึ่งปุยเมฆสีดำในดวงจันทร์ ลูกตาทั้ง ๒ ข้างเป็นประดุจดอกบัวเขียว จมูกกลมดีเกลี้ยงเกลาประดุจท่อน้ำเงิน ฝ่ามือและฝ่าเท้ารวมทั้งช่องปากงดงามประดุจลูบไล้ไว้ด้วยน้ำครั่ง อัตภาพของพราหมณ์จัดว่างามเลิศยิ่งนัก ถ้าสถานที่ใดไม่มีพระราชาประทับอยู่ด้วย ก็สมควรที่จะตั้งพราหมณ์ผู้นี้เป็นพระราชาได้ พราหมณ์นี้เป็นคนประกอบด้วยสิริเช่นนี้ เพราะเหตุนี้ ชนทั้งหลายจึงเรียกเขาว่า โปกขรสาติ เพราะเป็นเหมือนดอกบัวรุ.๗๑๕

วันหนึ่ง โปกขรสาติพราหมณ์ได้สดับข่าวว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน ใกล้หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อว่า อิจฉานังคลคาม อีกทั้งได้ยินกิตติศัพท์อันงามของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยประการต่าง ๆ จึงได้ไปเฝ้า ฯ เพื่อดูมหาปุริสลักษณะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพรหมณ์นั้นแล้ว จึงทรงเปิดเผยมหาปุริสลักษณะให้โปกขรสาติพราหมณ์ได้เห็นทั่วทั้งหมด พราหมณ์ได้เห็นแล้วก็เลื่อมใสยิ่งนัก จึงกราบทูลนิมนต์สมเด็จพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งปวงไปรับภัตตาหารที่เรือนของตน หลังจากสมเด็จพระบรมศาสดาทรงอนุโมทนาและแสดงอนุปุพพิกถาในภายหลังภัตรแล้ว โปกขรสาติพราหมณ์ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ฯ


เกี่ยวกับตำราอภิธรรม ออนไลน์ (Disclaimer)
ตำราอภิธรรมออนไลน์ พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของอภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดระฆังฯ วัดญาณเวศกวัน และ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อนำเสนอสื่อธรรมสำหรับการศึกษาค้นคว้า โดยได้รับอนุญาต และเอกสารต้นฉบับจากผู้เขียน ดังนี้
(๑) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๒), จิตปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๒) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๖), เจตสิกปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๓) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๖๓), รูปปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
ผู้สนใจศึกษาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ และหลักสูตรการศึกษาได้ที่ สำนักงานอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๗) แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร ๐๒ ๔๑๑ ๔๕๔๖, ๑๒ ๔๑๒ ๑๐๘๔, ๐๘๖ ๐๓๘ ๒๙๓๓


  |