ไปยังหน้า : |
การที่บุคคลทั้งหลายยอมเสียสละวัตถุสิ่งของของตนให้เป็นทานแก่บุคคลเหล่าอื่นนั้น มีเหตุผล ๘ ประการ คือ
๑. เพราะประจวบเหมาะ
๒. เพราะกลัวคนอื่นจะตำหนิ
๓. เพราะคิดว่าเขาได้เคยให้เรามาก่อน
๔. เพราะคิดว่าเขาจักให้แก่เราในกาลข้างหน้า
๕. เพราะคิดว่าการให้ทานเป็นความดี
๖. เพราะคิดว่าการไม่ให้แก่ผู้มิได้หุงต้มนั้นย่อมไม่สมควร [การไม่ให้แก่บุคคลที่ไม่ได้หุงข้าวปลาอาหารรับประทานเอง ได้แก่ นักบวชทั้งหลายนั้น ไม่สมควร]
๗. เพราะคิดว่าชื่อเสียงเกียรติยศอันดีงามย่อมขจรไป
๘. ให้ทานเพื่อปรับสภาพจิตใจให้ประณีตยิ่งขึ้น
อีกนัยหนึ่ง เหตุที่บุคคลย่อมเสียสละวัตถุสิ่งของของตนให้ทานแก่บุคคลเหล่าอื่นนั้น มีเหตุปัจจัย ๘ ประการ คือ
๑. เพราะชอบพอกัน
๒. เพราะชังกัน [โกรธกัน ไม่ชอบหน้ากัน]
๓. เพราะหลง
๔. เพราะกลัว
๕. เพราะคิดว่าบรรพบุรุษเคยให้มาเคยทำมา
๖. เพราะคิดว่าหลังจากตายไปแล้วเราจักได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
๗. เพราะคิดว่าจิตย่อมเลื่อมใสเกิดความเบิกบานใจ
๘. ให้ทานเพื่อปรับสภาพจิตใจให้ประณีตยิ่งขึ้น
การให้ทานด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้ ถ้าบุคคลมีความตั้งใจที่จะให้ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ก่อนแต่จะให้ เรียกว่า บุพพเจตนา ก็ดี ในขณะกำลังให้ เรียกว่า มุญจนเจตนา ก็ดี หลังจากให้เสร็จแล้ว เรียกว่า อปรเจตนา ก็ดี หรือผ่านพ้นเวลานั้นไปแล้ว เรียกว่า อปราปรเจตนา ก็ดี ถ้ามีเจตนาในการให้เหล่านี้ทั้งหมดหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง การให้นั้นย่อมจัดว่าเป็นทานที่บริสุทธิ์ ซึ่งจะให้ผลเป็นความสุขต่าง ๆ ตามสมควรแก่กำลังของเจตนานั้น ถ้าบุคคลมีเจตนาครบทั้ง ๔ อย่าง ทานย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ถ้ามีเจตนา ๓ อย่าง ทานก็ชื่อว่า บริบูรณ์ ไม่มีความบกพร่อง ย่อมมีอานิสงส์มากมีผลมากเช่นเดียวกัน แต่ถ้ามีเพียงเจตนา ๒ อย่าง หรือมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทานนั้นย่อมมีอานิสงส์ลดหลั่นกันลงไป ตามสภาพของเจตนานั้นด้วย