| |
ภูมิที่โลกุตตรจิตเกิดได้   |  

ในกามสุคติภูมิ ๗ นั้น โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ ย่อมสามารถเกิดได้ทั้งหมด

ในรูปภูมิ ๑๐ [เว้นอสัญญสัตตภูมิ ๑ สุทธาวาสภูมิ ๕] โลกุตตรจิต ๘ ย่อมสามารถเกิดได้ทั้งหมด ส่วนโลกุตตรจิต ๔๐ นั้นเกิดได้ตามสมควรแก่ฌานที่พรหมแต่ละท่านใช้เป็นบาทในการเจริญวิปัสสนาเท่านั้น จึงเรียกว่า มรรคผลตามฌานนั้นๆ เช่น ใช้ปฐมฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนา เมื่อได้บรรลุโสดาปัตติมรรคและโสดาปัตติผลแล้ว ก็เรียกว่า ปฐมฌานโสดาปัตติมรรค ปฐมฌานโสดาปัตติผล ดังนี้เป็นต้น

ในสุทธาวาสภูมิ ๕ นั้น เกิดได้เฉพาะอนาคามิผลจิต ๑ อรหัตตมรรคจิต ๑ และอรหัตตผลจิต ๑ รวมเป็น ๓ ดวง ถ้าพระอนาคามีหรือพระอรหันต์นั้น ไม่ได้ทำฌาน ก็มีแต่มรรคจิตผลจิตแบบธรรมดา แต่ถ้าพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ที่ทำฌานได้ และใช้ฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนา เมื่อได้บรรลุมรรคผล ก็เรียกว่า ปัญจมฌานอนาคามิผลจิต ๑ ปัญจมฌานอรหัตตมรรคจิต ๑ และปัญจมฌานอรหัตตผลจิต ๑ เนื่องจากสุทธาวาสภูมิ ๕ นั้น เป็นจตุตถฌานภูมิ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพรหมผู้เกิดด้วยปัญจมฌานวิปากจิต ๑ ดวงเท่านั้น และพรหมที่อยู่ชั้นสูงจะไม่ทำฌานที่ต่ำกว่าฌานที่ตนเองได้ ฉะนั้น พรหมอนาคามีและพรหมอรหันต์ในสุทธาวาสภูมิ ๕ นั้น ย่อมทำรูปาวจรปัญจมฌานกุศลหรือกิริยาเท่านั้น ส่วนฌานที่สูงขึ้นกว่านั้น ก็สามารถทำอรูปฌาน ๔ แต่อรูปฌาน [กุศล] ๔ นั้นไม่สามารถใช้เป็นบาทเจริญวิปัสสนาให้บรรลุมรรคผลได้ เนื่องจากเป็นฌานที่มีสภาพละเอียดแนบแน่นในอารมณ์ลึกเกินไป ไม่สามารถพิจารณาให้เห็นโดยความเป็นไตรลักษณ์ได้

ในอรูปภูมิ ๔ นั้น โลกุตตรจิต ๗ [เว้นโสดาปัตติมรรคจิต ๑] ย่อมสามารถเกิดได้ ที่เป็นดังนี้ เพราะผู้ที่สามารถจะเจริญมรรคผลให้เกิดขึ้นเองได้ในอรูปภูมินั้น อย่างน้อยต้องได้โสดาปัตติมรรคจิตไปจากปัญจโวการภูมิแล้วเท่านั้น หมายความว่า บุคคลที่สามารถจะเป็นที่พึ่งของตนเองในหนทางแห่งพระนิพพานได้โดยไม่ต้องอาศัยครูอาจารย์เป็นปัจจัยให้อีกนั้น บุคคลนั้นอย่างต่ำต้องเป็นพระโสดาบันได้แล้ว จึงจะสามารถเจริญวิปัสสนาต่อด้วยตนเองจนบรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปได้ ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ อย่างไรก็ต้องอาศัยครูอาจารย์เป็นปัจจัยให้ทั้งสิ้น แม้บุคคลนั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกก็ตาม ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ไม่ต้องอาศัยครูอาจารย์ในหนทางแห่งโพธิญาณ อนึ่ง ในอรูปภูมินั้น ไม่สามารถอาศัยครูอาจารย์เป็นปัจจัยได้ เนื่องจากบุคคลที่เกิดอยู่ในภูมิเหล่านี้ ไม่สามารถรับรู้โดยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายได้เลย รับรู้ได้ด้วยใจอย่างเดียว เพราะเป็นภูมิที่ไม่มีรูปใด ๆ เกิดเลย และครูอาจารย์จะเป็นปัจจัยให้ได้นั้น ก็เป็นได้ ๒ ทวารหลัก คือ ทางตา ได้แก่ การเห็นกัลยาณมิตรคือครูอาจารย์ และทางหู ได้แก่ การได้ฟังพระสัทธรรมจากกัลยาณมิตรนั้น จึงสามารถรับรู้ต่อไปสู่มโนทวารได้ ซึ่งพวกอรูปพรหมทั้งหลาย ไม่มีปัญจทวารเลย ด้วยเหตุนี้ พวกอรูปพรหมที่เป็นปุถุชน จึงไม่สามารถเจริญวิปัสสนาให้บรรลุมรรคผลด้วยตนเองได้ ฉะนั้น โสดาปัตติมรรคจิต จึงไม่สามารถเกิดกับบุคคลที่เกิดอยู่ในอรูปภูมิได้เลย ส่วนโสดาปัตติผลจิตนั้น เป็นจิตที่สืบเนื่องไปจากโสดาปัตติผลจิตที่บุคคลนั้นได้บรรลุไปแล้วจากปัญจโวการภูมิ ถึงแม้จะไปเกิดในอรูปภูมิแล้วก็ตาม [หรือแม้จะไปเกิดในภูมิไหนก็ตาม] โสดาปัตติผลจิต ก็ยังติดอยู่ในขันธสันดานของบุคคลนั้น สามารถนึกหน่วงให้เกิดขึ้นได้ในขณะที่เข้าผลสมาบัติ ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวว่า โลกุตตรจิตที่เกิดในอรูปภูมิได้นั้น ได้แก่ โลกุตตรจิต ๗ [เว้นโสดาปัตติมรรคจิต] ส่วนโลกุตตรจิตโดยพิสดาร ๔๐ ดวงนั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นในอรูปภูมิได้เลย เนื่องจากพวกอรูปพรหมไม่สามารถทำรูปฌานให้เกิดขึ้นได้อีก เพราะเป็นพรหมที่อยู่ชั้นสูงกว่า และเป็นภูมิที่ไม่มีรูปเลย ซึ่งรูปฌานนั้น ต้องเป็นบุคคลที่มีทั้งรูปและนามประกอบกันเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้


เกี่ยวกับตำราอภิธรรม ออนไลน์ (Disclaimer)
ตำราอภิธรรมออนไลน์ พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของอภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดระฆังฯ วัดญาณเวศกวัน และ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อนำเสนอสื่อธรรมสำหรับการศึกษาค้นคว้า โดยได้รับอนุญาต และเอกสารต้นฉบับจากผู้เขียน ดังนี้
(๑) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๒), จิตปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๒) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๖), เจตสิกปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๓) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๖๓), รูปปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
ผู้สนใจศึกษาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ และหลักสูตรการศึกษาได้ที่ สำนักงานอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๗) แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร ๐๒ ๔๑๑ ๔๕๔๖, ๑๒ ๔๑๒ ๑๐๘๔, ๐๘๖ ๐๓๘ ๒๙๓๓


  |