| |
คุณสมบัติพิเศษของสัททรูป   |  

อาจารย์วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี อดีตประธานมูลนิธิแนบ มหานีรานนท์รุ.๒๐๘ ได้แสดงคุณลักษณะพิเศษของสัททรูปหรือสัททารมณ์ไว้ดังต่อไปนี้

สัททรูปมีคุณสมบัติพิเศษโดยเฉพาะ ที่ไม่เหมือนกันกับปรมัตถธรรมเหล่าอื่น เรียกว่า วิเสสลักษณะ ซึ่งมี ๔ อย่าง มีลักษณะเป็นต้น จึงเรียกว่า ลักขณาทิจตุกกะ ได้แก่

๑. โสตปฏิหนนลกฺขโณ มีการกระทบกับโสตปสาท เป็นลักษณะ

๒. โสตวิญฺาณสฺส วิสยภาวรโส มีการเป็นอารมณ์ให้โสตวิญญาณจิต เป็นกิจ

๓. ตสฺเสว โคจรปจฺจุปฺปฏฺาโน มีการได้ยินของโสตวิญญาณจิตนั่นเอง เป็นอาการปรากฏ

๔. จตุมหาภูตปทฏฺาโน มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด

คำอธิบายเพิ่มเติมของผู้เขียน :

จากวิเสสลักษณะหรือลักขณาทิจตุกกะของสัททรูปหรือสัททารมณ์ที่ท่านกล่าวไว้ข้างต้นนั้น ผู้เขียนขออธิบายขยายความหมายเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้

๑. โสตปฏิหนนลกฺขโณ มีการกระทบกับโสตปสาท เป็นลักษณะ หมายความว่า สัททรูปหรือสัททารมณ์นี้ ย่อมมีสภาวะลักษณะโดยเฉพาะของตน อันเป็นคุณสมบัติพิเศษประจำตัวอยู่เสมอ คือ เสียงต่าง ๆ อันมีคลื่นที่กระจายออกโดยมีลมพัดพาไปนั้น ย่อมสามารถกระทบกับโสตปสาทรูปได้เท่านั้น ไม่สามารถกระทบกับปสาทรูปอย่างอื่น มีจักขุปสาทรูปเป็นต้นได้เลย นี้จัดเป็นคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัวอันเป็นสภาวลักษณะของสัททรูปหรือสัททารมณ์คือเสียงต่าง ๆ

๒. โสตวิญฺาณสฺส วิสยภาวรโส มีการเป็นอารมณ์ให้โสตวิญญาณจิต เป็นกิจหมายความว่า หน้าที่อันเป็นคุณสมบัติ ที่เรียกว่า สัมปัตติรส ของสัททรูปคือสัททารมณ์นั้น ก็คือ สามารถปรากฏแก่โสตวิญญาณจิตและโสตทวาริกจิตอื่นทั้ง ๔๖ ดวงตามสมควร ได้แก่ กามาวจรจิต ๔๖ ดวง [เว้นจักขุวิญญาณจิต ๒ ฆานวิญญาณจิต ๒ ชิวหาวิญญาณจิต ๒ กายวิญญาณจิต ๒] โดยอาศัยโสตทวาร ซึ่งหน้าที่นี้ เป็นหน้าที่อันเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมากับสัททรูปหรือสัททารมณ์โดยเฉพาะ ไม่ใช่หน้าที่ที่เป็นการขวนขวายเพื่อจะทำ ที่เรียกว่า กิจจรส แต่ประการใด เพราะสัททรูปหรือสัททารมณ์นั้น เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นอัพยากตธรรม คือ สภาพธรรมที่ไม่มีความขวนขวายเพื่อจะกระทำให้เกิดขึ้น และมีสภาพเป็นอจิตตกะ คือ ไม่มีเจตนาที่จะจัดแจงหรือบงการบังคับบัญชาให้สิ่งใดเกิดขึ้นหรือเป็นไปแต่ประการใด กล่าวคือ สัททรูปหรือสัททารมณ์เอง ก็ไม่มีความรู้สึกว่าตนเองกระทบกับโสตปสาทหรือมีความต้องการเพื่อจะกระทบกับโสตปสาทแต่ประการใด และโสตปสาทเองก็ไม่มีความรู้สึกว่า ตนเองถูกสัททรูปหรือสัททารมณ์กระทบเข้าแล้ว หรือไม่มีความต้องการเพื่อจะให้สัททรูปหรือสัททารมณ์มากระทบกับตนเช่นเดียวกัน การกระทบกันระหว่างโสตปสาทกับสัททารมณ์นี้ ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น กล่าวคือ เมื่อโสตปสาทรูปกับสัททารมณ์อยู่ในสภาพที่สามารถกระทบกันได้ ย่อมกระทบกัน แต่ถ้าทั้ง ๒ อย่างนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถกระทบกัน ย่อมกระทบกันไม่ได้ การกระทบกันนี้ล้วนแต่เป็นไปตามสภาพแห่งอนัตตา คือ เป็นไปตามเหตุปัจจัยล้วน ๆ โดยไม่มีใครมาบงการบังคับบัญชาให้เป็นไปแต่ประการใดทั้งสิ้น

๓. ตสฺเสว โคจรปจฺจุปฺปฏฺาโน มีการเป็นอารมณ์แก่โสตวิญญาณจิตหรือมีการได้ยินของโสตวิญญาณจิตนั่นเอง เป็นอาการปรากฏ หมายความว่า สภาพแห่งสัททรูปหรือสัททารมณ์นี้ ย่อมปรากฏแก่โสตวิญญาณจิต ๒ หรือโสตทวาริกจิต ๔๖ ดวง ได้แก่ กามาวจรจิต ๔๖ ดวง [เว้นจักขุวิญญาณจิต ๒ ฆานวิญญาณจิต ๒ ชิวหาวิญญาณจิต ๒ กายวิญญาณจิต ๒] ทางโสตทวารเท่านั้น จะปรากฏแก่วิญญาณจิตอื่นหรือทวาริกจิตเหล่าอื่น และทางทวารอื่น ที่นอกจากนี้หาได้ไม่ นี้เป็นสภาวลักษณะพิเศษเฉพาะตนที่ปรากฏเป็นผลสำเร็จออกมาของสัททรูปหรือสัททารมณ์ ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติหรือธรรมดา อันเป็นอนัตตาของสภาวธรรมทั้งหลายเท่านั้น คือ ไม่มีบุคคลใดเป็นผู้จัดแจงหรือบงการบังคับบัญชาให้เป็นไปแต่ประการใด เป็นไปตามเหตุปัจจัยล้วน ๆ

๔. จตุมหาภูตปทฏฺาโน มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่า บรรดารูปธรรมทั้งหลาย จะเกิดขึ้นโดยลำพังตนเองอย่างเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ จะต้องเกิดร่วมกันเป็นหมวดหมู่หรือกอง ที่เรียกว่า รูปกลาป ทั้งสิ้น และบรรดาอุปาทายรูปทั้งหลาย จะปรากฏขึ้นโดยลำพังตนเองไม่ได้ จะต้องอาศัยมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นฐานรองรับจึงจะปรากฏเกิดขึ้นได้ สัททรูปหรือสัททารมณ์นี้ก็เป็นหนึ่งในอุปาทายรูป ๒๔ เพราะฉะนั้น สัททรูปนี้จะปรากฏเกิดขึ้นได้ จะต้องมีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นฐานรองรับให้ปรากฏเกิดขึ้น เพราะสัททรูปนี้ก็คือเสียงของมหาภูตรูปทั้ง ๔ เท่านั้น ถ้าไม่มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่แล้ว เสียงของธาตุเหล่านั้น ย่อมปรากฏไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีที่อาศัย อนึ่ง ในบรรดากลาปรูปที่มีเสียงเกิดร่วมด้วยนั้น ก็มีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นองค์ประกอบร่วมด้วยทุกกลาปไป เพราะในคลื่นเสียงนั้นย่อมมีธาตุดินที่มีสภาพอ่อน มีธาตุน้ำเป็นตัวเกาะกุมรูปทั้งหลายไว้ในกลาปเดียวกัน มีธาตุไฟเป็นไออุ่น มีธาตุลมทำให้เกิดความเบาและพัดพาไป มีวัณณรูปคือสี มีคันธรูปคือกลิ่น มีรสรูปคือรสต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มอวินิพโภครูป ๘ อันเป็นองค์ประกอบหลักของกลุ่มรูปทุกกลาป เพียงแต่ว่า รูปเหล่านั้นมีปริมาณเบาบาง ไม่ปรากฏชัดเจน ธาตุที่มีปริมาณมากสมดุลกับเสียงก็คือธาตุลมซึ่งทำให้คลื่นเสียงสามารถกระจายออกไปได้ แต่เมื่อกลุ่มรูปเหล่านี้มารวมกันในปริมาณที่มาก สภาพแห่งรูปเหล่านั้นย่อมปรากฏชัดเจน กล่าวคือ มีพลังกระทบที่รุนแรง [แข็ง] อันเป็นสภาพแห่งธาตุดิน มีอาการดังต่อเนื่อง อันเป็นสภาพแห่งธาตุน้ำที่เกาะกุมรูปทั้งหลายไว้ให้เป็นกุล่มกอง มีอาการร้อนแรง อันเป็นสภาพแห่งธาตุไฟ มีสภาพดังกระหึ่มกระจายออกไป อันเป็นสภาพแห่งธาตุลม มีสีฟุ้งกระจายเป็นไอสีต่าง ๆ อันเป็นสภาพแห่งวัณณรูป มีกลิ่นปรากฏชัดเจน อันเป็นสภาพแห่งคันธรูป เมื่อกลุ่มรูปเหล่านั้นกระทบที่ประสาทลิ้นของบุคคลใด ย่อมรู้สึกถึงรสต่าง ๆ อันเป็นสภาพแห่งรสรูป ในกลุ่มรูปเหล่านั้นย่อมมีสารอาหารรวมอยู่ด้วย เพราะสารอาหารที่เรียกว่า โอชา นั้นย่อมมีอยู่ทั่วไปในสรรพสิ่งทั้งปวง เพียงแต่ว่าจะเป็นอาหารแก่สัตว์ตนใด เป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์เท่านั้น เพราะฉะนั้น มหาภูตรูปทั้ง ๔ จึงเป็นเหตุอันใกล้ที่สุดที่จะให้สัททรูปหรือสัททารมณ์นี้ปรากฏเกิดขึ้นได้ กล่าวคือ เป็นฐานรองรับการเกิดขึ้นของสัททรูปหรือสัททารมณ์ดังกล่าวแล้วนั่นเอง

เมื่อสรุปความแล้ว คุณสมบัติพิเศษของสัททรูปหรือสัททารมณ์คือเสียงต่าง ๆ ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะหรือลักขณาทิจตุกกะนั้น ได้แก่ ย่อมมีการกระทบกับโสตปสาท เป็นลักษณะ มีการเป็นอารมณ์ให้โสตวิญญาณ เป็นกิจ มีความเป็นอารมณ์ให้แก่โสตวิญญาณนั่นเอง เป็นอาการปรากฏ และมีมหาภูตรูปทั้ง ๔ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด ซึ่งความเป็นไปเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของสภาวธรรมที่เป็นรูปธรรม อันมีสภาพเป็นอัพยากตะ คือ ไม่มีความขวนขวายด้วยตนเอง มีสภาพเป็นอจิตตกะ คือ ไม่มีเจตนาในการจัดแจงหรือบงการบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่ตนปรารถนา และมีสภาพเป็นสังขตธรรม คือ เป็นไปตามที่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อมีเหตุปัจจัย ย่อมปรากฏเกิดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลง ย่อมเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเหตุปัจจัยดับ ย่อมดับไปตามเหตุปัจจัย อันเป็นสภาพแห่งอนัตตาล้วน ๆ ไม่มีตัวตนหรือบุคคลใดมาเป็นผู้บงการทั้งสิ้น


เกี่ยวกับตำราอภิธรรม ออนไลน์ (Disclaimer)
ตำราอภิธรรมออนไลน์ พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของอภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดระฆังฯ วัดญาณเวศกวัน และ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อนำเสนอสื่อธรรมสำหรับการศึกษาค้นคว้า โดยได้รับอนุญาต และเอกสารต้นฉบับจากผู้เขียน ดังนี้
(๑) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๒), จิตปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๒) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๖), เจตสิกปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๓) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๖๓), รูปปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
ผู้สนใจศึกษาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ และหลักสูตรการศึกษาได้ที่ สำนักงานอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๗) แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร ๐๒ ๔๑๑ ๔๕๔๖, ๑๒ ๔๑๒ ๑๐๘๔, ๐๘๖ ๐๓๘ ๒๙๓๓


  |