| |
ลักษณะการประหาณกิเลส   |  

กิเลส คือ ธรรมชาติที่เศร้าหมองเร่าร้อน และทำให้สัตว์เศร้าหมองเร่าร้อนไปตามสภาพของตนด้วย ในพระอภิธรรมได้แบ่งกิเลสตามอาการที่แสดงออก เป็น ๓ ระดับ คือ

๑. วีติกกมกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างหยาบที่สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวทางกาย ทางวาจา เป็นทุจริตกรรมต่าง ๆได้ เปรียบเหมือนตะกอนที่นอนอยู่ก้นตุ่ม เมื่อถูกกวนอย่างแรงก็ลอยโผล่ขึ้นมาให้เห็น หรือเปรียบเหมือนหญ้าที่ได้รับน้ำและอากาศที่พอเหมาะแล้ว ก็แตกหน่องอกงามขึ้นมาฉะนั้น วีติกกมกิเลสนี้ สามารถประหาณได้ด้วยมหากุศลต่าง ๆ คือ ทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล [ในเบื้องต้น] แต่เป็นการกระทำให้สงบระงับไปชั่วครั้งชั่วคราว ในขณะที่เกิดมหากุศลจิตนั้นอยู่ การประหาณกิเลสอย่างนี้ เรียกว่า “ตทังคปหาน” แปลว่า การละด้วยองค์นั้น ๆ คือ องค์แห่งทาน องค์แห่งศีล องค์แห่งภาวนา เป็นต้น เปรียบเหมือนการตัดยอดหญ้าไม่ให้รกเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

๒. ปริยุฏฐานกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างกลางที่กลุ้มรุมอยู่ในจิตใจ ยังไม่แสดงปฏิกิริยาล่วงล้ำออกมาทางกายทางวาจา เปรียบเหมือนตะกอนก้นตุ่มที่ถูกกวนเบา ๆ เกิดอาการไหวตัวอยู่ก้นตุ่มน้ำนั้น หรือเปรียบเหมือนเชื้อในเมล็ดหญ้า เมื่อถูกความชื้น ก็เริ่มจะแสดงปฏิกิริยาแตกหน่อออกมาฉะนั้น กิเลสชนิดนี้ ได้แก่ อนุสัยกิเลสที่แปรสภาพเป็นนิวรณ์ ๕ ซึ่งเกิดอยู่ภายในมโนทวาร ไม่ถึงกับแสดงอาการล่วงล้ำออกมาทางกายทางวาจา ปริยุฏฐานกิเลสนี้สามารถประหาณได้ด้วยอำนาจแห่งฌานกุศล ย่อมข่มทับไว้หรือระงับไว้ได้ตามสมควรแก่กำลังแห่งฌานสมาบัติ ด้วยการข่มทับอยู่ได้นานตราบเท่าที่กำลังของฌานนั้นยังไม่เสื่อม เรียกว่า “วิกขัมภนปหาน” แปลว่า การประหาณด้วยการข่มทับไว้ เหมือนเอาก้อนหินไปทับหญ้าไว้ไม่ให้งอกขึ้นมาได้ฉะนั้น

๓. อนุสัยกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเวลายาวนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อยังไม่มีอารมณ์มากระทบทางทวารต่าง ๆ ก็สงบนิ่งอยู่ภายใน ไม่สามารถรู้สึกได้ นอกจากปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะรู้ได้ว่ามีอยู่ ต่อเมื่อมีอารมณ์มากระทบ จึงเกิดการตอบสนองขึ้น ก็จะแปรสภาพไปเป็นปริยุฏฐานกิเลส และเมื่อได้เหตุปัจจัยสนับสนุนมากขึ้น ก็จะแปรสภาพไปเป็นวีติกกมกิเลส ล่วงล้ำออกมาทางกายทางวาจาต่อไป เมื่อหมดเหตุปัจจัยสนับสนุนแล้ว ก็กลับกลายเป็นอนุสัยกิเลสอีกต่อไป เปรียบเหมือนตะกอนที่นอนอยู่ก้นตุ่ม ยังไม่ถูกกระทบหรือไม่ถูกกวน ก็ไม่ลอยขึ้นมาให้เห็น หรือเปรียบเหมือนเชื้อของหญ้าที่ยังไม่ได้รับเหตุปัจจัยใด ๆ ก็ยังไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด อนุสัยกิเลสนี้ สามารถประหาณด้วยอำนาจแห่งปัญญาในมรรคจิตทั้ง ๔ ตามสมควรแก่กำลังของมรรคนั้น ๆ ซึ่งเป็นการประหาณโดยเด็ดขาด เรียกว่า “สมุจเฉทปหาน” แปลว่า การประหาณด้วยการตัดขาด เหมือนกับขุดรากถอนโคน หรือทำลายรากเหง้าของต้นหญ้าทิ้งไป ฉะนั้น [ยกเว้นสกิทาคามิมรรคที่สามารถประหาณได้เพียงทำให้เบาบางลงไปอีก เรียกว่า ตนุกรปหานเท่านั้น]


เกี่ยวกับตำราอภิธรรม ออนไลน์ (Disclaimer)
ตำราอภิธรรมออนไลน์ พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของอภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดระฆังฯ วัดญาณเวศกวัน และ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อนำเสนอสื่อธรรมสำหรับการศึกษาค้นคว้า โดยได้รับอนุญาต และเอกสารต้นฉบับจากผู้เขียน ดังนี้
(๑) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๒), จิตปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๒) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๖), เจตสิกปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๓) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๖๓), รูปปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
ผู้สนใจศึกษาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ และหลักสูตรการศึกษาได้ที่ สำนักงานอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๗) แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร ๐๒ ๔๑๑ ๔๕๔๖, ๑๒ ๔๑๒ ๑๐๘๔, ๐๘๖ ๐๓๘ ๒๙๓๓


  |