| |
จักขุวิญญาณจิต ๒   |  

จักขุวิญญาณจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยความเป็นผลของกุศลและอกุศล เพื่อรับรู้รูปารมณ์ หมายความว่า ถ้ารูปารมณ์คือสีต่าง ๆ นั้น เป็นอิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่น่าปรารถนาปรากฏขึ้น จักขุวิญญาณจิตที่เกิดขึ้นรับรู้ ก็เป็นกุศลวิบาก ถ้ารูปารมณ์คือสีต่าง ๆ นั้น เป็นอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาปรากฏขึ้น จักขุวิญญาณจิตที่เกิดขึ้นรับรู้ ก็เป็นอกุศลวิบาก จักขุวิญญาณจิตนี้ มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตน ๔ ประการ ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะ หรือ ลักขณาทิจตุกกะ คือ

๑. จักขุนิสสิตะรูปะวิชานะนะลักขะณัง มีการรู้รูปารมณ์ที่อาศัยจักขุวัตถุ เป็นลักษณะ หมายความว่า เป็นจิตที่ไม่สามารถอาศัยวัตถุรูปอย่างอื่นเกิดได้เลย คือ จะไปอาศัยโสตวัตถุ ฆานวัตถุ ชิวหาวัตถุ กายวัตถุ หรือหทยวัตถุ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดนั้นไม่ได้ ย่อมอาศัยเกิดได้เฉพาะจักขุวัตถุ ได้แก่ จักขุปสาทรูป เท่านั้น

๒. รูปะมัตตารัมมะณะระสัง มีอารมณ์เฉพาะรูปารมณ์เท่านั้นเป็นกิจ หมายความว่า จักขุวิญญาณจิต ๒ ดวงนี้ ไม่สามารถรับอารมณ์อย่างอื่นได้เลย คือ จะรับสัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ หรือ ธัมมารมณ์ อย่างใดอย่างนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ ย่อมรับได้เฉพาะรูปารมณ์เท่านั้น

๓. รูปาภิมุขะภาวะปัจจุปปัฏฐานัง มีการมุ่งตรงต่อรูปารมณ์ เป็นอาการปรากฏ หมายความว่า จักขุวิญญาณจิต ๒ ดวงนี้ ดวงใดดวงหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมมุ่งหน้าในการรับรูปารมณ์เท่านั้น จะไม่มุ่งหน้าไปหารับอารมณ์อื่นที่นอกจากรูปารมณ์นี้เลย คือ เมื่อรูปารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์อันเป็นผลของอกุศลกรรมปรากฏเกิดขึ้นทางจักขุทวารแล้ว จักขุวิญญาณจิตที่เป็นอกุศลวิบากย่อมเกิดขึ้นและมุ่งหน้าต่อรูปารมณ์อันไม่น่าปรารถนานั้น และเมื่อรูปารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์ [ทั้งที่เป็นอติอิฏฐารมณ์ คือ รูปารมณ์อันน่าปรารถนาอย่างยิ่งก็ดี หรืออิฏฐมัชฌัตตารมณ์ คือ รูปารมณ์อันน่าปรารถนาระดับปานกลางก็ดี] อันเป็นผลของกุศลกรรมปรากฏเกิดขึ้นทางจักขุทวารแล้ว จักขุวิญญาณจิตที่เป็นกุศลวิบากย่อมเกิดขึ้นและมุ่งหน้าต่อรูปารมณ์อันน่าปรารถนานั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของวิปากจิตนั้น

๔. รูปารัมมะณายะ ก๎ริยามะโนธาตุยา อะปะคะมะปะทัฏฐานัง มีการแผ่ออกไปแห่งกิริยามโนธาตุที่มีรูปคือสีต่างๆ เป็นอารมณ์เป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่า เมื่อรูปารมณ์ปรากฏขึ้นทางจักขุทวารแล้ว ภวังคจิตหวั่นไหวตอบสนองต่อรูปารมณ์นั้นและตัดกระแสภวังค์ขาดแล้ว ปัญจทวาราวัชชนจิตอันได้ชื่อว่า กิริยามโนธาตุ ย่อมเกิดขึ้นเป็นจิตดวงแรกในจักขุทวารวิถีนั้น ทำการหน่วงเหนี่ยวรูปารมณ์นั้นมาสู่จักขุทวารวิถี โดยทำการพิจารณาว่าเป็นรูปารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วส่งให้จักขุวิญญาณจิตรับรู้ต่อไป คือ ถ้าเป็นรูปารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์ ก็ส่งให้จักขุวิญญาณจิตที่เป็นกุศลวิบากรับไป ถ้าเป็นรูปารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ก็ส่งให้จักขุวิญญาณจิตที่เป็นอกุศลวิบากรับไป ฉะนั้น จักขุวิญญาณจิตทั้ง ๒ ดวงนี้ จะเกิดขึ้นได้ต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นแผ่ออกรับรูปารมณ์นั้นมาพิจารณาก่อน จักขุวิญญาณจิตนี้ จึงจะเกิดขึ้นรับรู้รูปารมณ์นั้นต่อไปได้

อนึ่ง จักขุวิญญาณจิต ๒ ดวงนี้ เป็นอเหตุกจิต เนื่องจากเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ ๖ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีโลภเหตุ เป็นต้นเกิดร่วมด้วยเลย แต่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งการประชุมพร้อมกันแห่งปัจจัย ๔ ประการ เรียกว่า อุปัตติเหตุ ได้แก่

๑. จักขุปะสาโท มีประสาทตาดี

๒. รูปารัมมะณัง มีรูปารมณ์ คือ สีต่าง ๆ มาปรากฏเฉพาะหน้า

๓. อาโลโก มีแสงสว่างพอเห็นได้

๔. มะนะสิกาโร มีความสนใจเพื่อจะดู [ปัญจทวาราวัชชนจิตหน่วง เหนี่ยวอารมณ์ คือ ชักดึงรูปารมณ์มาสู่จักขุทวาร]

เมื่อสมบูรณ์พร้อมด้วยปัจจัย ๔ ประการนี้แล้ว การเห็นก็เกิดขึ้นได้อย่างบริบูรณ์ ถ้าบกพร่องไปด้วยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ประสาทตาไม่ค่อยดี รูปารมณ์นั้นอยู่ไกลหรือใกล้เกินไป มีแสงสว่างน้อยหรือจ้ามากเกินไป หรือไม่ได้ใส่ใจต่อรูปารมณ์นั้น ดังนี้เป็นต้นแล้ว ประสิทธิภาพของการเห็นก็ลดน้อยลงไป ถ้าขาดปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งไป เช่น ตาบอดหรือถูกปิดกั้นไว้จนแนบสนิท ไม่มีรูปารมณ์ปรากฏ ไม่มีแสงสว่างเลย [มืดสนิท] หรือไม่ได้ใส่ใจต่อรูปารมณ์นั้นเลยหรือนอนหลับสนิท ดังนี้เป็นต้นแล้ว การเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้ นี้เรียกว่า อุปัตติเหตุทางจักขุทวาร ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสอนให้กำหนดว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น เพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจบังคับบัญชา หรือคำบงการของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เห็นหรือไม่ให้เห็นได้ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เราเห็นหรือใครเห็น เพียงแต่เป็นสภาพของนามธรรมที่ได้เหตุปัจจัยครบแล้วเกิดการเห็นเท่านั้น


เกี่ยวกับตำราอภิธรรม ออนไลน์ (Disclaimer)
ตำราอภิธรรมออนไลน์ พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของอภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดระฆังฯ วัดญาณเวศกวัน และ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อนำเสนอสื่อธรรมสำหรับการศึกษาค้นคว้า โดยได้รับอนุญาต และเอกสารต้นฉบับจากผู้เขียน ดังนี้
(๑) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๒), จิตปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๒) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๖), เจตสิกปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๓) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๖๓), รูปปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
ผู้สนใจศึกษาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ และหลักสูตรการศึกษาได้ที่ สำนักงานอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๗) แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร ๐๒ ๔๑๑ ๔๕๔๖, ๑๒ ๔๑๒ ๑๐๘๔, ๐๘๖ ๐๓๘ ๒๙๓๓


  |