ไปยังหน้า : |
วิปลาสธรรม หมายถึง ความเห็นที่คลาดเคลื่อนไปจากสภาพแห่งความเป็นจริง ซึ่งสภาพแห่งความเป็นจริงนั้น สิ่งทั้งหลาย เป็นอสุภะ คือ ความไม่สวยไม่งาม เป็นอนิจจะ คือ ความไม่เที่ยงแท้ไม่ยั่งยืน เป็นทุกขะ คือ ไม่ใช่ของสุขสบาย และทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน เป็นอนัตตะ คือ ไม่ใช่ตัวตนที่จะพึงบังคับบัญชาว่ากล่าวให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้
ต้นเหตุแห่งวิปลาส
๑. ทิฏฐิวิปลาส | วิปลาสไปเพราะความเห็นผิด | |
๒. จิตตวิปลาส | วิปลาสไปเพราะความเข้าใจผิด | |
๓. สัญญาวิปลาส | วิปลาสไปเพราะความสำคัญผิด |
วิปลาสธรรม ๑๒
วิปลาส ๓ อย่างนี้ แต่ละอย่าง ย่อมเป็นไปในอาการ ๔ อย่าง คือ
๑. ทิฏฐิวิปลาส วิปลาสไปเพราะความเห็นผิด ๔ ประการ คือ
(๑) สุภทิฏฐิวิปลาส | เห็นผิดไปว่า เป็นสิ่งสวยงาม | |
(๒) สุขทิฏฐิวิปลาส | เห็นผิดไปว่า เป็นความสุขสบาย | |
(๓) นิจจทิฏฐิวิปลาส | เห็นผิดไปว่า เป็นสิ่งเที่ยงแท้ยั่งยืน | |
(๔) อัตตทิฏฐิวิปลาส | เห็นผิดไปว่า เป็นตัวเป็นตน |
๒. จิตตวิปลาส วิปลาสไปเพราะความเข้าใจผิด ๔ ประการ คือ
(๑) สุภจิตตวิปลาส | ความเข้าใจผิดไปว่า เป็นสิ่งสวยงาม | |
(๒) สุขจิตตวิปลาส | ความเข้าใจผิดไปว่า เป็นความสุขสบาย | |
(๓) นิจจจิตตวิปลาส | ความเข้าใจผิดไปว่า เป็นสิ่งเที่ยงแท้ยั่งยืน | |
(๔) อัตตจิตตวิปลาส | ความเข้าใจผิดไปว่า เป็นตัวเป็นตน |
๓. สัญญาวิปลาส วิปลาสไปเพราะความสำคัญผิด ๔ ประการ คือ
(๑) สุภสัญญาวิปลาส | ความสำคัญผิดไปว่า เป็นสิ่งสวยงาม | |
(๒) สุขสัญญาวิปลาส | ความสำคัญผิดไปว่า เป็นความสุขสบาย | |
(๓) นิจจสัญญาวิปลาส | ความสำคัญผิดไปว่า เป็นสิ่งเที่ยงแท้ยั่งยืน | |
(๔) อัตตสัญญาวิปลาส | ความสำคัญผิดไปว่า เป็นตัวเป็นตน |
ดังนั้น จึงรวมเป็นวิปลาสธรรม ๑๒ ประการด้วยกัน
การทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคายว่า สิ่งทั้งปวงเป็นอสุภะ ล้วนแต่ไม่สวยไม่งาม สิ่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง ล้วนแต่ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ ล้วนแต่เป็นของไม่สุขไม่สบาย สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา ล้วนแต่ไม่ใช่ตัวตนที่จะพึงบังคับบัญชาว่ากล่าวให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้ การทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคายเช่นนี้ เรียกว่า โยนิโสมนสิการ
โยนิโสมนสิการ ในเหตุ ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นเหตุให้ตัดทิฏฐิวิปลาส จิตตวิปลาสและสัญญาวิปลาสได้ เมื่อตัดวิปลาสธรรมเหล่านี้ได้แล้ว ก็เป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เป็นไปเพื่อพระนิพพาน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “โยนิโสมนสิกาโร ภิกฺขเว มหโต อตฺถาย สํวตฺตติ” แปลความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่หลวง และทรงแสดงว่า โยนิโสมนสิการนี้
๑. ย่อมเป็นไปเพื่อปราบวิจิกิจฉา คือ ความสงสัยที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมทำให้อันตรธานหายไปได้
๒. ย่อมเป็นธรรมที่กั้นอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดไม่ให้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ส่วนที่เกิดแล้วก็ย่อมกำจัดให้หมดไปได้
๓. ย่อมเป็นธรรมที่ยังกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดให้ได้เกิดขึ้น กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้ตั้งมั่นและเจริญยิ่งขึ้นได้
๔. ย่อมเป็นไปเพื่อทำสัมมาทิฏฐิที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้เจริญมั่นคงยิ่งขึ้น
๕. ย่อมเป็นธรรมที่ยังโพชฌงค์อันเป็นองค์แห่งธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้อริยสัจ ๔ ที่ยังไม่เกิดให้ได้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้ได้ถึงซึ่งความบริบูรณ์
๖. ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม เพื่อความไม่เลอะเลือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญ และเพื่อความไม่อันตรธานไปแห่งพระสัทธรรม
ถ้าหากมีความประมาทขาดโยนิโสมนสิการ กลายเป็นอโยนิโสมนสิการแล้ว ก็เป็นเหตุให้วิปลาสธรรม ๑๒ ประการนี้เกิดขึ้นได้ อันเป็นเครื่องปิดกั้นทำให้ไม่รู้ความจริงของรูปนามว่า เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนทั้ง ๓ อย่างนี้แหละเรียกว่า ไตรลักษณ์ แต่บุคคลโดยทั่วไป ไม่รู้แจ้งในไตรลักษณ์ เพราะว่า มีสิ่งที่ปิดบังไตรลักษณ์ไว้ จึงทำให้เพลิดเพลินหลงใหลอยู่ในสิ่งที่ปิดบังนั้นเสีย จึงทำให้ไม่ได้พิจารณาเห็น หรือ มองไม่เห็นไตรลักษณ์