ไปยังหน้า : |
อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้ ความโง่ ความหลง หรือ ความไม่เข้าใจในสภาพธรรมต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง ทำให้เกิดความงมงายในสิ่งต่าง ๆ มี ๘ ประการ คือ
๑. ทุกเข อญาณัง ความไม่รู้ในทุกข์ หมายความว่า ความไม่รู้ไม่เข้าใจในอัตภาพร่างกาย ชีวิตความเป็นไป วิบากที่ประสบพบเห็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งสักแต่ว่า เป็นสภาพที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้นมา เป็นผลที่สำเร็จอันสุกงอมแล้ว ไม่สามารถขวนขวายให้เป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว เพราะมีเหตุมีปัจจัยให้เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุปัจจัยแปรเปลี่ยนไปและดับไปเพราะหมดเหตุหมดปัจจัย ล้วนตกอยู่ใต้กฎเกณฑ์แห่งไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ดังนี้เป็นต้น แต่เพราะอำนาจอวิชชาปกปิดไว้ จึงทำให้สัตว์ บุคคลทั้งหลาย ดิ้นรนขวนขวายแสวงหาสิ่งที่น่าปรารถนาน่าชอบใจ และสลัดสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าชอบใจออกไปจากชีวิตจากจิตใจ ต้องเศร้าโศกเสียใจ เมื่อพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ปรารถนา และชอกช้ำกล้ำกลืน เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจ ต้องฝืนทนเก็บกด ทำให้เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง จึงวางใจไม่ถูกต้อง
๒. ทุกขสมุทเย อญาณัง ความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ หมายความว่า อัตภาพร่างกาย และวิบากสมบัติ ที่สัตว์ทั้งหลายได้รับอยู่นั้น มีต้นเหตุมาจากสมุทัย คือ ตัวตัณหา ความทะยานอยาก ความกระหาย ความดิ้นรนทะเยอทะยานต่าง ๆ ได้แก่
๑] กามตัณหา ความยินดีติดใจหลงใหลในกามคุณอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันน่าใคร่น่าปรารถนา น่าชอบใจ และความนึกคิดถึงอารมณ์ ๕ อย่างเหล่านั้น ด้วยความกำหนัดยินดี
๒] ภวตัณหา ความยินดีติดใจในภพภูมิต่าง ๆ หรือในภาวะความมีความเป็น คือ ยศถาบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ คิดว่า เป็นสาระแก่นสาร ด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเป็นของเที่ยงแท้มั่นคง ยั่งยืน หรือมีสาระแก่นสาร ควรยึดถือไว้เป็นของตน
๓] วิภวตัณหา ความทะยานอยากดิ้นรนให้พ้นจากสภาพที่ตนไม่ปรารถนาไม่ชอบใจ หรือเพราะประสบความผิดหวังในสิ่งที่เคยหวังไว้ ไม่เป็นไปดังที่คาดคิดไว้ จึงอยากสลัดอยากหนีให้พ้นจากสภาพเช่นนั้น หรือเกิดความทะยานอยากให้เข้าถึงสภาพสูญเปล่า ไม่มีรูปนามขันธ์ ๕ อยู่เลย เพราะความยึดมั่นที่ผิด ๆ ด้วยอำนาจอุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่า โลกและสิ่งทั้งปวงขาดสูญ สัตว์ทั้งหลายตายแล้วก็สูญไม่มีเกิดอีกต่อไป
เมื่อมีความคิดความเห็นเช่นนี้แล้ว ย่อมทำให้ดิ้นรนขวนขวายในการสร้างกรรมต่าง ๆ ที่เป็นไปตามอำนาจของตัณหานั้น ๆ ทั้งกรรมดีบ้าง กรรมชั่วบ้าง อันเป็นปัจจัยส่งผลเป็นวิบาก ให้เกิดเป็นตัวทุกข์ คือ อัตภาพร่างกาย และความรับรู้ทางทวาร ๖ อีกต่อไป ที่เป็นดังนี้ ก็เพราะอำนาจแห่งอวิชชาปกปิดความจริงไว้ จึงทำให้สัตว์ทั้งหลาย ไม่รู้เท่าทันความเป็นจริง ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งตัณหาอยู่ร่ำไป
๓. ทุกขนิโรเธ อญาณัง ความไม่รู้ในความดับแห่งทุกข์ หมายความว่า ความทุกข์ความทรมานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มีการดับสนิทได้โดยไม่เหลือเชื้อไว้ ได้แก่ พระนิพพาน ซึ่งแปลว่า สภาพที่พ้นจากตัณหาเครื่องร้อยรัดทั้งปวง หรือสภาพที่ดับไม่เหลือเชื้อแห่งทุกข์ทั้งปวง เป็นสภาพที่สงบจากกิเลสและขันธ์ ๕ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มีสภาพคงที่ สงบเยือกเย็น เป็นบรมสุข สูญสิ้นจากตัณหาและกองทุกข์ทั้งปวง เป็นแต่เพียงสภาพอารมณ์ที่สามารถรับรู้ได้ทางมโนวิญญาณที่พัฒนาศักยภาพทางด้านสติปัญญาจนถึงที่แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถรับรู้ได้ แต่ไม่ใช่ภพภูมิใด ๆ ไม่ใช่สถานที่ไหน ๆ ไม่มีรูปร่างสัณฐาน ไม่มีสีสันวรรณะ ที่จะกระทบสัมผัสได้โดยตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนตกอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์แห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสิ้น ส่วนสภาพของพระนิพพานนั้น มีเพียงสภาพความเป็นอนัตตา คือ สภาวะที่ไม่มีรูปร่างสัณฐาน ไม่มีสีสันวรรณะ เท่านั้น แต่เป็นสภาพที่เที่ยง มีความคงที่ เป็นบรมสุขอย่างแท้จริง แต่เพราะความไม่รู้ด้วยอำนาจอวิชชา จึงทำให้สัตว์ทั้งหลายไม่รู้ว่า มีสภาวะอย่างนั้นอยู่ หรือมีความเห็นในสภาพของพระนิพพานว่า เป็นภพภูมิหรือดินแดนสุขาวดี มีชีวิตนิรันดร ไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วก็ปรารถนาไปเกิด ณ ที่นั้น ด้วยอำนาจภวตัณหา อย่างหนึ่ง หรือ มีความเห็นว่า ความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เป็นสภาพของพระนิพพาน แล้วก็ปรารถนาให้ถึงสภาพเช่นนั้น ด้วยอำนาจแห่งวิภวตัณหา อย่างหนึ่ง
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาย อญาณัง ความไม่รู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายความว่า พระนิพพานนั้นไม่สามารถไปถึงด้วยยานพาหนะใด ๆ หรือไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยการตรึกนึกคิด การคาดคะเนเอาแต่อย่างใด หนทางที่จะสามารถเข้าถึงหรือรับรู้สภาพของพระนิพพานอย่างแท้จริงได้นั้น ต้องประพฤติปฏิบัติในแนวทางที่จะนำให้ถึงพระนิพพาน ซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ
[๑] สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ได้แก่ การมีความเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม หรือ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บาป บุญ มีจริง โลกนี้ โลกหน้ามีจริง เป็นต้น
[๒] สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ เช่น ดำริในการหลีกออกจากกาม แสวงหาความหลุดพ้น ดำริในความไม่พยาบาท ดำริในความไม่คิดเบียดเบียน ดำริในทางให้เกิดสันติภาพ สันติสุข เป็นต้น
[๓] สัมมาวาจา การพูดชอบ คือ การเว้นจากวจีทุจริต ๔ ได้แก่ การเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล และประพฤติอยู่ในวจีสุจริตอันตรงกันข้ามกับวจีทุจริตนั้น เช่น พูดแต่สิ่งที่เป็นความจริง พูดให้เกิดความรักความสามัคคีปรองดองกัน พูดแต่วาจาที่อ่อนหวานผูกไมตรีจิต พูดแต่สิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร เป็นต้น เพื่อมิให้เกิดโทษทางวาจา อันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด เพราะวาจาเป็นเหตุ
[๔] สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ คือ การเว้นกายทุจริต ๓ ได้แก่ เว้นจากการฆ่าสัตว์เบียดเบียนสัตว์ [รวมทั้งมนุษย์ด้วย] เว้นจากการลักทรัพย์ที่เจ้าของหวงแหน เว้นจากการประพฤติผิดในกาม แล้วกระทำแต่กรรมที่ดี ไม่ทำกรรมชั่ว ทำแต่สิ่งที่ไม่เป็นโทษ หรือสร้างแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคมรอบข้าง
[๕] สัมมาอาชีวะ การหาเลี้ยงชีพชอบ ได้แก่ การหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ ด้วยการเว้นจากการหาเลี้ยงชีพด้วยกายทุจริต ๓ และวจีทุจริต ๔ ประกอบแต่สัมมาอาชีวะ ที่ไม่ทำตนและบุคคลอื่นให้เดือดร้อน ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กรอบแห่งศีลธรรม และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของศาสนาและของสังคมประเทศชาติ
[๖] สัมมาวายามะ ความเพียรพยายามชอบ ได้แก่ ความเพียรในสถานทั้ง ๔ คือ เพียรละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป เรียกว่า ปหานปธาน เพียรระวังอกุศลใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น เรียกว่า สังวรปธาน เพียรทำกุศลความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เรียกว่า ภาวนาปธาน และเพียรรักษากุศลความดีที่เคยเกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่และเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป เรียกว่า อนุรักขนาปธาน
[๗] สัมมาสติ ความระลึกชอบ ได้แก่ การระลึกรู้เท่าทันไม่ให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น หรือทำอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้หดหายไป กุศลธรรมใดที่ยังไม่เกิดก็ทำให้เกิดขึ้นและกุศลธรรมใดที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป หรือระลึกไปในสติปัฏฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นสักแต่ว่า รูปนามขันธ์ ๕ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เพื่อทำลายอภิชฌา คือ ความยินดีด้วยอำนาจแห่งโลภะ และทำลายโทมนัส คือ ยินร้ายด้วยอำนาจแห่งโทสะให้หมดไป แล้วปลูกสติปัญญาให้แก่กล้า เพื่อทำลายอนุสัยกิเลสให้หมดไปในที่สุด
[๘] สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ ได้แก่ การฝึกฝนพัฒนาทางจิตให้มีกำลังเข้มแข็ง มีกำลังเด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวต่อกระแสกิเลสที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้มีภูมิต้านทานกระแสกิเลสได้เป็นอย่างดี และประคับประคองตนให้อยู่ในหนทางแห่งสัมมาทิฏฐิ ไม่ตกไปเป็นมิจฉาสมาธิ อันจะเป็นกำลังในการต่อต้านและประหาณอนุสัยกิเลสได้
ข้อวัตรปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ด้วยมรรคมีองค์ ๘ เหล่านี้ เป็นหนทางหรือเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพทางด้านสติปัญญาให้แก่กล้า เพื่อให้เข้าถึงหรือให้สามารถรับรู้สภาพของพระนิพพานได้อย่างถูกต้อง แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงหันเหชีวิตหรือดำเนินชีวิตไปในหนทางอื่น อันรกชัฏและมืดมิด ทำให้หลงติดอยู่ในทางกันดาร คือ สังสารวัฏฏ์อันยาวไกลต่อไป
๕. ปุพพันเต อญาณัง ความไม่รู้ในขันธ์อายตนะธาตุที่เกิดแล้ว หมายความว่า เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจว่า ในอดีตชาติ ตนเองและสัตว์ทั้งหลาย ก็เคยเกิดมาแล้วนับภพนับชาติไม่ถ้วน มีอัตภาพที่แตกต่างกันออกไปมากมาย เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานบ้าง เพราะอำนาจแห่งอกุศลกรรม หรือมีอัตภาพ เป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหมบ้าง เพราะอำนาจแห่งกุศลกรรมแต่ละอย่าง แต่เพราะมีความเห็นว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเกิดมาจากพ่อแม่ มีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่ทำให้เกิด ไม่เห็นมีใครรู้เลยว่าตนเองเกิดมาจากไหน จากภพภูมิใด จึงทำให้ไม่รู้ความเป็นไปของรูปนามขันธ์ ๕ ในอดีตที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากระลึกชาติไม่ได้ หรือขาดสติปัญญาในการพิจารณาเหตุผลในความวนเวียนแห่งวัฏฏจักร เพราะถูกอวิชชาปิดบังไว้นั่นเอง
๖. อปรันเต อญาณัง ความไม่รู้ในขันธ์ อายตนะ ธาตุ ที่จะเกิดข้างหน้า หมายความว่า เป็นผู้ที่ไม่รู้ว่า ในอนาคตชาติข้างหน้าตนเองและสัตว์ทั้งหลายจะต้องเกิดอีก เพราะยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ อัตภาพที่จะปรากฏเกิดขึ้นในภพหน้าเมื่อตายแล้ว ก็จะมีอีกแน่นอน แต่เพราะมีความเห็นว่า อัตภาพร่างกายเกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่ทำให้เกิดขึ้นมา เมื่อตายแล้ว ก็เอาไปเผาไฟ หรือฝังดินสูญสลายไปกลายเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกว่าไปเกิดที่ไหนเลย ดังนี้เพราะไม่มีอนาคตังสญาณ คือ ความรู้เหตุในอนาคต หรือขาดสติปัญญาในการพิจารณาเหตุผลในความวนเวียนแห่งวัฏฏจักร จึงไม่เชื่อในเรื่องภพภูมิข้างหน้าว่าจะมีอีก จึงทำให้ไม่สนใจที่จะทำความดี เพื่อภพภูมิข้างหน้าจะได้ไปสู่สถานที่ดี ทั้งนี้ เพราะถูกอวิชชา ความไม่รู้ปกปิดไว้ ไม่ให้รู้ความจริงของสังสารวัฏฏ์นั่นเอง
๗. ปุพพันตาปรันเต อญาณัง ความไม่รู้ในขันธ์ อายตนะ ธาตุ ที่เกิดแล้วและจักเกิดต่อไปข้างหน้า กับทั้งที่กำลังเกิดอยู่ด้วย หมายความว่า เป็นผู้ที่ไม่รู้ในความเป็นไปของอัตภาพร่างกายที่เป็นอดีต อนาคต และที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ ไม่รู้ว่า อดีตก็เคยเกิดมาแล้ว และอนาคตข้างหน้าย่อมจะต้องเกิดอีก เนื่องจากยังมีกิเลสอยู่ แม้อัตภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันซึ่งสืบเนื่องมาจากผลกรรมในอดีตส่งผลมาให้เช่นเดียวกัน จึงทำให้หลงใหลในอัตภาพ ในชีวิตความเป็นอยู่ ยศถาบรรดาศักดิ์ กระทำกรรมต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงภพภูมิข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร และไม่คิดว่า ความเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป ด้วยอำนาจแห่งอวิชชา คือ ความไม่รู้ปกปิดไว้นั่นเอง
๘. อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปันเนสุ ธัมเมสุ อญาณัง ความไม่รู้ในปฏิจจ สมุปบาท คือ ธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงได้เกิดขึ้น ประดุจลูกโซ่คล้องติดกัน หมายความว่า เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ในความเป็นไปแห่งสังขารทั้งปวง ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย จึงหลงใหลยึดติดอยู่ในความคิดความเห็นว่า เป็นสัตว์บุคคล เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา เป็นต้น ด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิ หรืออุจเฉททิฏฐิ โดยไม่รู้เท่าทันสภาพธรรมที่มีความเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของแต่ละสิ่งแต่ละอย่างว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงได้เกิดขึ้น หรือเพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงได้ดับไป ตามเหตุตามผลของกันและกัน ซึ่งเป็นความรู้อันละเอียดลึกซึ้ง ต้องอาศัยสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา อย่างลึกซึ้งจึงจะสามารถรู้และเข้าใจได้ แต่เพราะอวิชชาปิดบังไว้ จึงทำให้สัตว์ทั้งหลายไม่รู้ตามความเป็นจริง
ความไม่รู้ทั้ง ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้โมหะ คือ อวิชชา เกิดขึ้นครอบงำสัตว์ทั้งหลาย ให้หลงมัวเมาอยู่ในสภาพอันไม่เป็นความจริง ยึดถือในสิ่งที่ไม่ใช่สาระว่าเป็นสาระ มองเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ ทำให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน จนหาเบื้องต้นและที่สุดไม่พบว่าจะจบสิ้นลงเมื่อใด