ไปยังหน้า : |
คำอธิบายเพิ่มเติมของผู้เขียน :
เมื่อสัททารมณ์ คือ เสียงต่าง ๆ ที่เป็นปัจจุบันในขณะนั้น มากระทบกับโสตปสาทรูป ทำให้เกิดการกระเทือนถึงภวังคจิต ภวังคจิตในขณะนั้น เรียกว่า อตีตภวังค์ [ตี] แปลว่า ภวังค์เดิม ซึ่งเรียกในขณะที่มีอารมณ์ใหม่มาปรากฏทางทวารนั้นเท่านั้น [ถ้ายังไม่มีอารมณ์ใหม่มาปรากฏที่ทวาร ก็เรียกว่า ภวังคจิต [ภ] เฉย ๆ] ต่อจากนั้น ภวังคจิตนั่นเองย่อมหวั่นไหวตอบสนองต่อสัททารมณ์นั้น เรียกว่า ภวังคจลนะ [น] และทำการตัดกระแสภวังค์ขาด คือ ทิ้งอารมณ์เก่าหรือหลีกตัวเองเพื่อให้วิถีจิตเกิดขึ้นรับสัททารมณ์นั้น เรียกว่า ภวังคุปัจเฉทะ [ท] ภวังคจิตทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นจิตประเภทเดียวกันหรือดวงเดียวกันนั่นเอง เพียงแต่แปรสภาพไปตามลำดับในการตอบสนองต่ออารมณ์ ภวังคจิตทั้ง ๓ อย่างนี้ยังไม่ได้ทิ้งอารมณ์เก่าของตนได้ขาด จึงยังไม่สามารถรับรู้อารมณ์ใหม่ที่มากระทบนั้นได้ เปรียบเหมือนบุคคลผู้กำลังทำการงานอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ มีบุคคลอื่นมาเรียก เขาได้ยินเสียงเรียกนั้น แต่ยังไม่ได้ละจากการงานที่กำลังทำอยู่ และยังไม่ได้หันไปมองดูบุคคลผู้เรียกนั้น ข้อนี้ฉันใด ภวังคจิตทั้ง ๓ ชนิดนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่ออารมณ์ใหม่ที่มากระทบในขณะนั้นก็ตาม แต่ยังตัดจากอารมณ์เก่าไม่ได้ จึงยังไม่สามารถรับรู้อารมณ์ใหม่นั้นได้ เมื่อภวังคุปัจเฉทะดับลงแล้ว
ต่อจากนั้น ปัญจทวาราวัชชนจิต [ป] จึงเกิดขึ้นรับสัททารมณ์นั้นมา เปรียบเหมือนบุคคลผู้ยืนเฝ้าประตู คอยเปิดประตูให้บุคคลที่จะเข้าออกอย่างเคร่งครัด โดยไม่ได้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์พิเศษกับบุคคลที่เข้าออกนั้นให้เสียการแต่ประการใด ข้อนี้ฉันใด ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้ก็ฉันนั้น รับสัททารมณ์มาแล้วก็ไม่ได้ทำการพิจารณาไต่สวนให้รู้รายละเอียดของสัททารมณ์นั้นแต่อย่างใด เมื่อรับมาแล้วก็ส่งผ่านให้จิตดวงต่อไป คือ โสตวิญญาณจิต
โสตวิญญาณจิต [โสต] ย่อมรับรู้สัททารมณ์นั้นโดยความเป็นแต่เพียงคลื่นเสียงเท่านั้น ยังไม่ได้ไต่สวนพิจารณาสัททารมณ์นั้นแต่อย่างใด ก็ดับลง
จิตดวงต่อมา คือ สัมปฏิจฉนจิต [ส] ย่อมเกิดขึ้นรับสัททารมณ์นั้นแล้วส่งให้จิตดวงต่อไป คือ สันตีรณจิต โดยที่สัมปฏิจฉนจิตเองก็ยังไม่ได้ทำการพิจารณาไต่สวนให้รู้รายละเอียดของสัททารมณ์นั้นแต่อย่างใด
สันตีรณจิต [ณ] หน้าที่ในการไต่สวนสัททารมณ์นั้น เป็นหน้าที่ของสันตีรณจิต แต่สันตีรณจิตก็เพียงแต่ไต่สวนให้รู้สัททารมณ์นั้นโดยสภาพเป็นผลของกุศลหรือผลของอกุศลเท่านั้น เพราะสันตีรณจิตเองก็เป็นวิบากจิต ซึ่งมีสภาพที่เป็นผลอันสุกงอมแล้ว ไม่มีความขวนขวายในการจัดแจงหรือปรุงแต่งให้เป็นอื่นแต่อย่างใด เพียงแต่เกิดขึ้นทำหน้าที่ตามสภาพของตนเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าสัททารมณ์ปรากฏขึ้นด้วยอำนาจแห่งอกุศลวิบาก มีสภาพเป็นอนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่ายินดี สันตีรณจิตที่ทำหน้าที่ไต่สวนสัททารมณ์นั้น ต้องเป็นอุเบกสันตีรณอกุศลวิบากจิตเท่านั้น ถ้าสัททารมณ์ปรากฏขึ้นด้วยอำนาจแห่งกุศลวิบาก มีสภาพเป็นอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่ายินดี สันตีรณจิตที่เกิดขึ้นทำหน้าที่ไต่สวนสัททารมณ์นั้น ต้องเป็นสันตีรณจิตที่เป็นกุศลวิบากจิต มี ๒ ดวง คือ ถ้าสัททารมณ์นั้นมีสภาพเป็นอิฏฐมัชฌัตตารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่ายินดีระดับปานกลาง [น่ายินดีไม่มากนัก] ปรากฏขึ้น ย่อมเป็นหน้าที่ของอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิตเป็นผู้เกิดขึ้นไต่สวนพิจารณา ถ้าสัททารมณ์นั้นมีสภาพเป็นอติอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่ายินดียิ่ง [น่ายินดีมาก] ปรากฏขึ้น ย่อมเป็นหน้าที่ของโสมนัสสสันตีรณจิต เป็นผู้เกิดขึ้นไต่สวนพิจารณา ซึ่งล้วนแต่เป็นไปโดยสภาวะ ไม่มีผู้ใดมาบังการหรือจัดสรรหน้าที่ให้แต่ประการใด
ลำดับต่อจากนั้น จิตดวงต่อไป คือ โวฏฐัพพนจิต [โว] ได้แก่ มโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นอเหตุกกิริยาจิตดวงที่ ๒ ย่อมเกิดขึ้นทำการตัดสินสัททารมณ์นั้นตามสภาพที่สันตีรณจิตได้ไต่สวนพิจารณาแล้วว่า เป็นอิฏฐารมณ์ หรือเป็นอนิฏฐารมณ์
ต่อจากนั้น จิตดวงที่ ๘ ถึงดวงที่ ๑๕ ได้แก่ ชวนจิต [ช] ย่อมเกิดขึ้นเสพสัททารมณ์นั้น โดยความเป็นกุศล อกุศล หรือกิริยา ตามสมควรแก่เหตุปัจจัย กล่าวคือ ถ้าเสพด้วยโยนิโสมนสิการ ย่อมเป็นชวนจิตที่เป็นกุศล ถ้าเสพด้วยอโยนิโสมนสิการ ย่อมเป็นชวนจิตที่เป็นอกุศล ถ้าพระอรหันต์ท่านรับรู้หรือเสพ ย่อมเป็นชวนจิตที่เป็นกิริยาเท่านั้น จริงอยู่ ชวนจิตของพระอรหันต์นั้น ย่อมเป็นเพียงกิริยาจิตเท่านั้น เพราะท่านตัดกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดอกุศลกรรมได้หมดสิ้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ ความเป็นอกุศลกรรมจึงไม่เกิดมีขึ้นในขันธสันดานของพระอรหันต์อีกเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจึงไม่ต้องทำการงดเว้นหรือประหาณกิเลสอีก เมื่อสภาพแห่งอกุศลไม่เกิดขึ้นแล้ว ความเป็นกุศลกรรมซึ่งมีหน้าที่ในการประหาณอกุศลกรรม จึงไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีอกุศลกรรมให้ประหาณอีกต่อไปแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น สภาพความดีงามแห่งจิตของพระอรหันต์ที่ยังเป็นไปอยู่ จึงมีแต่สภาพที่เป็นกิริยาเท่านั้น แต่เป็นสภาพความดีที่ไม่ให้ผลใด ๆ เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว
ต่อจากชวนจิตเสพสัททารมณ์ติดต่อกันครบ ๗ ขณะ [โดยมาก] แล้ว ถ้าสัททารมณ์นั้นยังไม่ดับไป ยังมีอายุเหลืออยู่อีก ๒ ขณะจิต จิตที่ทำหน้าที่เสพสัททารมณ์ต่อจากชวนจิต ที่เรียกว่า เสพเศษอารมณ์ นั้น ได้แก่ ตทาลัมพนจิต [ต] ซึ่งเกิดขึ้นเสพสัททารมณ์นั้นต่ออีก ๒ ขณะ เมื่อนับตั้งแต่อตีตภวังค์เป็นต้นมาจนถึงตทาลัมพนจิต ๒ ดวงนี้ ก็ครบ ๑๗ ขณะพอดี ซึ่งเป็นอายุของนิปผันนรูปทั้งหลาย เพราะฉะนั้น อายุของสัททารมณ์ซึ่งเป็นนิปผันนรูปด้วย ก็สิ้นสุดลงพอดี
นี้หมายเอาสัททารมณ์ที่มีสภาพปรากฏชัดเจน ที่เรียกว่า อติมหันตารมณ์ ถ้าสัททารมณ์นั้นปรากฏชัดพอประมาณ ที่เรียกว่า มหันตารมณ์ แล้ว ย่อมทำให้การตอบสนองของภวังคจิตช้าลง อตีตภวังค์ต้องเกิดขึ้นติดต่อกัน ๒-๓ ครั้ง จึงจะตอบสนองต่อสัททารมณ์นั้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ วิถีจิตย่อมจะร่นถอยไป ทำให้อายุของสัททารมณ์นั้นไปสิ้นสุดที่ชวนจิตดวงที่ ๗ พอดี แล้วก็ลงภวังค์ไป ไม่สามารถมีตทาลัมพนจิตเกิดต่อท้ายได้ ถ้าสัททารมณ์ปรากฏไม่ชัด ที่เรียกว่า ปริตตารมณ์ อตีตภวังค์ต้องเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสัททารมณ์นั้นตั้งแต่ ๔ ขณะ ถึง ๙ ขณะ เมื่อเป็นเช่นนี้ วิถีจิตย่อมแล่นไปไม่ถึงชวนจิต เพราะอายุของสัททารมณ์ย่อมสิ้นสุดตรงโวฏฐัพพนจิตเท่านั้น ก็จะลงสู่ภวังค์ไป แต่ถ้าสัททารมณ์นั้นปรากฏไม่ชัดเลย ปรากฏเพียงแผ่วเบา ที่เรียกว่า อติปริตตารมณ์ เท่านั้น ทำให้การตอบสนองต่อสัททารมณ์ของภวังคจิตนั้นเฉื่อยช้ามาก ไม่สามารถตัดกระแสภวังคจิตขาดเพื่อให้วิถีจิตเกิดขึ้นรับสัททารมณ์นั้นได้ อตีตภวังค์ต้องเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสัททารมณ์นั้นตั้งแต่ ๑๐ ถึง ๑๖ ขณะ เมื่อเป็นเช่นนี้ วิถีจิตย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นรับสัททารมณ์นั้นได้เลยแม้แต่ดวงเดียว มีแต่อตีตภวังค์ที่แปรสภาพเป็นภวังคจลนะเกิดขึ้นหวั่นไหวตอบสนองต่อสัททารมณ์นั้น ๒ ขณะ [วิถีสุดท้ายมี ๑ ขณะ] เท่านั้น ต่อจากนั้น จิตก็ลงสู่ภวังค์ต่อไป โดยไม่มีการรับรู้สภาวะแห่งสัททารมณ์นั้นแต่ประการใด