ไปยังหน้า : |
การที่บุคคลจะเกิดวิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ในเรื่องที่ชวนให้เกิดความรวนเรใจ อันเป็นเหตุขัดขวางการทำคุณงามความดีนั้น มีเหตุปัจจัยสนับสนุน ๖ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวคือ
๑. อัปปสุตตา เป็นบุคคลผู้มีการศึกษาน้อย หมายความว่า เมื่อบุคคลเป็นผู้มีการศึกษาน้อย ย่อมทำให้เกิดความสงสัยในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ไม่เข้าใจ และหมักหมมความสงสัยนั้นไว้ เช่น สงสัยในคุณพระรัตนตรัย ชาตินี้ ชาติหน้า กรรมและผลของกรรม เป็นต้น ถ้ายังไม่สามารถคลายหรือบรรเทาให้เบาบางได้ ย่อมทำให้ขาดความมั่นใจ ที่จะเชื่อและปฏิบัติตามธรรมเหล่านั้นได้ จึงชื่อว่าเป็นปัจจัยให้เกิดวิจิกิจฉา เมื่อเป็นเช่นนี้ กุศลความดีต่าง ๆ อันจะพึงเกิดขึ้นจากการปฏิบัติในธรรมเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ จึงชื่อว่า เป็นเครื่องขัดขวางคุณความดี
๒. อปริปุจฉกตา เป็นบุคคลที่ไม่ชอบสอบสวนทวนถามท่านผู้รู้ หมายความว่า เมื่อตนเองเกิดความสงสัยแล้วมักเก็บกดความสงสัยนั้นไว้ ไม่กล้าถามผู้รู้ หรือ ชอบถามแต่ผู้ไม่รู้จริง ย่อมทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย เพราะไม่ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงทำให้เป็นผู้หมักหมมความสงสัยไว้ จนพอกพูนทับถมในจิตใจอย่างหนาแน่น ยากที่จะบรรเทาเบาบางได้
๓. วินเย อปกตัญญุตา เป็นบุคคลผู้ไม่ศึกษาให้รอบรู้ในระเบียบวินัย หมายความว่า บุคคลที่ไม่ค่อยมีระเบียบวินัย และไม่ได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องระเบียบวินัยให้ถูกต้อง เป็นเหตุให้เป็นคนขาดระเบียบวินัยกับตนเองและในสังคมอื่น ๆ ทำให้คนอื่นไม่ปรารถนาจะคบหาสมาคมด้วย และไม่ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากบุคคลอื่น ทำให้เกิดปมด้อยของชีวิต ซึ่งบางคนก็ไม่รู้สึกตัวว่าตนเองทำอะไรผิดไป สังคมจึงไม่ให้ความสำคัญ หรือทั้งที่รู้อยู่ แต่ด้วยอำนาจมานะทิฏฐิ จึงไม่ยอมปรับปรุงตนเอง มักปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอำนาจกิเลส ประพฤติผิดศีลธรรมของศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม เมื่อปล่อยหมักหมมไว้นานเข้า ย่อมทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหนทางชีวิตของตนเอง ที่ดำเนินผ่านมาแล้วและที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าว่าควรจะทำอย่างไรดี ที่เคยดำเนินมานั้นถูกหรือผิด ดังนี้เป็นต้น จึงทำให้ขาดความมั่นใจในหนทางชีวิต และเกิดความท้อแท้เบื่อหน่าย ไม่ขวนขวายในการแสวงหาความรู้และการสร้างคุณงามความดีต่อไป
๔. อนธิโมกขพหุลตา เป็นบุคคลผู้มีการตัดสินใจไม่เด็ดขาด หมายความว่า บุคคลผู้มีนิสัยรวนเร ลังเล อืดอาด เฉื่อยชา ขาดความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจกระทำกิจการงานต่าง ๆ จนติดเป็นนิสัย ทำให้การงาน หรือหน้าที่ต่าง ๆ คั่งค้าง ทับถม กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง เหมือนดินพอกหางหมูอยู่ทุกวัน จนยากที่จะสะสางให้เสร็จสิ้นได้ ชีวิตจึงไม่ประสบผลสำเร็จ จึงทำให้เกิดความรวนเรลังเลที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ลงไปอีก
๕. ปาปมิตตเสวนตา เป็นบุคคลที่ชอบคบหาสมาคมกับมิตรชั่ว หมายความว่า บุคคลที่ชอบคบหาสมาคมกับบุคคลผู้มีความคิดความเห็นที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และมีพฤติกรรมไปในทางที่ไม่ดี ทั้งชอบแนะนำบุคคลอื่นไปในทางที่เสื่อมเสีย ก่อทุจริตต่าง ๆ อยู่เป็นนิตย์ เมื่อบุคคลเข้าไปคบหาสมาคมอยู่เสมอ ๆ ย่อมชักนำไปในทางฉิบหาย ชวนให้กระทำทุจริตกรรมต่าง ๆ เมื่อได้ทำทุจริตลงไปแล้ว เกิดสำนึกได้ในภายหลัง บางทีบางอย่างก็เป็นการสายเกินไปที่จะแก้ไขได้ ทำให้หนทางชีวิตมืดมนลงและเกิดอาการคลุมเครือ เคลือบแคลงสงสัยในการที่จะตัดสินใจทำคุณงามความดีอะไรลงไป ว่าตนเองจะสามารถสร้างความดีได้อีกหรือไม่หนอ หรือว่าหนทางไหนเป็นหนทางผิด หนทางไหนเป็นหนทางที่ถูกต้องกันหนอ ดังนี้เป็นต้น เพราะขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นเอง
๖. อสัปปายกถา เป็นบุคคลที่ไม่ได้ฟังถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ หมายความว่า เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับฟังข้อมูลที่ถูกต้องให้คลายความสงสัย ได้ฟังแต่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความสงสัยหมักหมมอยู่ในใจ เนื่องจากขาดเหตุปัจจัย คือ ไม่ได้คบหาสมาคมกับสัตบุรุษ และไม่ได้ฟังธรรมคำสอนจากสัตบุรุษ จึงทำให้เก็บกดความลังเลสงสัยนั้นไว้ จนกลายเป็นความหมักหมม จิตใจไม่ปลอดโปร่งอยู่เรื่อยไป เมื่อประสบกับอารมณ์อันน่าเคลือบแคลง ย่อมทำให้เกิดความลังเลสงสัยได้
เหตุปัจจัยแต่ละอย่างเหล่านี้ ทำให้บุคคลเกิดความลังเลสงสัยตัดสินใจไม่เด็ดขาด เมื่อปรารภถึงคุณพระรัตนตรัยและคุณความดีที่พึงกระทำ ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงหาวิธีป้องกันและแก้ไขเหตุปัจจัยของวิจิกิจฉาอย่าให้เกิดขึ้น หรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมสามารถทำให้บรรเทาเบาบางจนหมดไป