ไปยังหน้า : |
บัณฑิตผู้มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาโดยอุบายอันแยบคายแล้ว ย่อมสามารถกำหนดพิจารณาเรียนรู้สภาวะของโอตตัปปเจตสิก อันเป็นปรมัตถธรรมอย่างหนึ่งซึ่งนับเนื่องในสังขารขันธ์ เพราะเป็นสภาวธรรมที่ปรุงแต่งจิตให้รับรู้อารมณ์เป็นพิเศษออกไปจากเวทนาขันธ์และสัญญาขันธ์ โดยอาศัยคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตน ที่ไม่เหมือนกับสภาวธรรมเหล่าอื่น ๔ ประการ ที่เรียกว่า วิเสสลักษณะ หรือ ลักขณาทิจตุกะ ดังต่อไปนี้
๑. ปาปะอุตตาสะนะลักขะณัง มีความสะดุ้งกลัวต่อบาป เป็นลักษณะ หมายความว่า โอตตัปปเจตสิกเป็สภาวธรรมที่มีความรังเกียจบาปและผลของบาป เป็นสภาวลักษณะเฉพาะตน เมื่อโอตตัปปะเกิดขึ้นแล้ว ย่อมทำให้สัมปยุตตธรรม คือ จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกับตนเกิดความเกรงกลัวต่อบาปและผลของบาปที่จะเกิดขึ้นแก่ตน จึงไม่กระทำทุจริตกรรมใด ๆ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้ฉลาด รู้ว่าก้อนเหล็กมันร้อน จึงไม่จับก้อนเหล็ก เพราะกลัวต่อความร้อนที่จะได้รับ ฉันนั้น
๒. ปาปานัง อะกะระณะระสัง มีการไม่กระทำบาป เป็นกิจ หมายความว่า สภาวะของโอตตัปปเจตสิกย่อมมีความหน่ายแหนงเข็ดขยาดต่อการทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อโอตตัปปเจตสิกเกิดขึ้น ย่อมทำให้ความคิดที่จะกระทำทุจริตกรรมนั้น ๆ หายไป คือ สามารถหยุดยั้งการกระทำที่ไม่ดี หรือสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีให้กลับเป็นพฤติกรรมที่ดีได้
๓. ปาปะโต สังโกจะนะปัจจุปปัฏฐานัง มีการย่อท้อต่อการทำบาป เป็นอาการปรากฏ [เกรงกลัวต่อบาป] หมายความว่า บุคคลผู้มีโอตตัปปะย่อมเกิดความรู้สึกนึกคิดที่ยำเกรงต่อบาปและผลของบาปที่จะพึงได้รับ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป ข้างหน้า แล้วไม่กระทำทุจริตใด ๆ ลงไป
๔. ปะระคาระวะปะทัฏฐานัง มีความเคารพผู้อื่น เป็นเหตุใกล้ให้เกิด ดุจการปฏิบัติหน้าที่ของหญิงแพศยา ผู้ซื่อสัตย์ต่อชายที่จองตนไว้แล้ว ฉันนั้น หมายความว่า เมื่อบุคคลพิจารณาโดยแยบคายว่า ถ้าเรากระทำความไม่ดีใด ๆ ลงไป เราก็จะได้ชื่อว่า เป็นคนชั่ว วิญญูชนทั้งหลายย่อมตำหนิติเตียนเรา ผู้มีศีลจะไม่ยอมคบหาสมาคมกับเรา และเมื่อเราตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงทุคติ วินิบาต นรก เป็นแน่ ดังนี้เป็นต้น แล้วปลูกโอตตัปปะให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ จึงไม่กล้ากระทำทุจริตกรรมใด ๆ ลงไป หรือแม้กำลังจะทำ ย่อมสามารถหยุดยั้งไว้ได้ไม่ล่วงกรรมบถแห่งทุจริตนั้น
โอตตัปปเจตสิก มีโลก [คือหมู่ชน] เป็นใหญ่ ตัวอย่างเช่น กุลบุตรบางคนในโลกนี้กระทำโลกให้เป็นใหญ่เป็นประธาน ออกบวชแล้วไม่กระทำบาปกรรม เพราะพิจารณาว่า ในโลกสันนิวาสนี้ ย่อมมีสมณะพราหมณ์ เทวดาผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักขุ รู้วารจิตของผู้อื่นได้ ถ้าเรากระทำบาปลงไป ท่านเหล่านั้นย่อมรู้ถึงพฤติกรรมของเรา ย่อมพากันตำหนิติเตียนเราอย่างนี้ว่า พวกท่านจงดูกุลบุตรผู้นี้ซิ เป็นผู้มีศรัทธาออกบวชจากเรือน เป็นบรรพชิตผู้ไม่มีเรือน แต่มากไปด้วยอกุศลธรรมอันลามก ดังนี้เป็นต้น เมื่อคิดพิจารณาดังนี้แล้ว จึงพยายามละอกุศล และเจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ ย่อมบริหารตนให้หมดจดได้