| |
วิจิกิจฉา ๘ ประการ   |  

ความสงสัยในความหมายของวิจิกิจฉานี้ ไม่ใช่เป็นความสงสัยในวิชาการต่าง ๆ หรือในบัญญัติธรรมต่าง ๆ แต่หมายถึงเฉพาะความสงสัยในลักษณะ ๘ ประการ คือ

๑. พุทเธ กังขะติ ความสงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า

๒. ธัมเม กังขะติ ความสงสัยในคุณของพระธรรม

๓. สังเฆ กังขะติ ความสงสัยในคุณของพระสงฆ์

๔. สิกขายะ กังขะติ ความสงสัยในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

๕. ปุพพันเต กังขะติ ความสงสัยในขันธ์ อายตนะ ธาตุ ที่เป็นอดีต

๖. อะปะรันเต กังขะติ ความสงสัยในขันธ์ อายตนะ ธาตุ ที่เป็นอนาคต

๗. ปุพพันตาปะรันเต กังขะติ ความสงสัยในขันธ์ อายตนะ ธาตุ ทั้งอดีตและอนาคต

๘. อิทัปปัจจะยะตา ปะฏิจจะสะมุปปันเนสุ ธัมเมสุ กังขะติ ความสงสัยในปฏิจจสมุปบาทธรรม [ความเกิดขึ้นของรูปนาม ที่เกิดขึ้นโดยความเป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวเนื่องกันเป็นเหมือนลูกโซ่]

อธิบายความหมาย

๑. พุทเธ กังขะติ ความสงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า หมายความว่า บุคคลผู้ที่ยังไม่มั่นใจในองค์พระพุทธเจ้าว่า พระองค์จะมีจริงหรือไม่ พระองค์จะได้ตรัสรู้ธรรมทั้งปวงจริงหรือเปล่า หรือว่าพระพุทธคุณทั้งหลาย จะเป็นได้ดังที่พรรณนาไว้จริงหรือเปล่า ได้แก่ พุทธคุณ ๙ ประการ คือ

๑] อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลสทั้งปวง เพราะหักกำแห่งกิเลส ตัดวงล้อแห่งสังสารวัฏได้แล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีกิเลสไหน ๆ มาพัวพันพระทัยของพระองค์อีกต่อไป

๒] สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง คือ ตรัสรู้เญยยธรรมทั้งปวง ด้วยอำนาจสัพพัญญุตญาณ ทำให้พระองค์ทรงรู้สิ่งทั้งปวง ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก มารโลก อบายภูมิทั้งปวง ตลอดอนันตจักรวาลไม่มีสิ้นสุด

๓] วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา ๘ และจรณะ ๑๕ ทำให้พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยพระปัญญาอันรู้ยิ่ง และพระจริยาวัตรอันงดงาม หาบุคคลเปรียบปานมิได้ ทำให้ทรงอาจหาญด้วยเวสารัชชญาณ ๔ ที่ทำให้พระองค์ทรงมีความแกล้วกล้า อันใคร ๆ ไม่สามารถมาทักท้วงว่า พระองค์ไม่ใช่สัพพัญญุตญาณอย่างแท้จริง คือ

[๑] สัมมาสัมพุทธปฏิญญา บุคคลที่จะกล่าวคัดค้านพระองค์ว่า ท่านปฏิญญาว่า เป็นพระพุทธเจ้า แต่ธรรมเหล่านี้ท่านยังไม่รู้เลย ดังนี้ไม่มี

[๒] ขีณาสวปฏิญญา บุคคลที่จะกล่าวคัดค้านพระองค์ว่า ท่านปฏิญญาว่า เป็นพระขีณาสพ แต่ว่าอาสวะเหล่านี้ของท่านยังไม่สิ้นไป ดังนี้ไม่มี

[๓] อันตรายิกธัมมวาทะ บุคคลที่จะกล่าวคัดค้านพระองค์ว่า ท่านกล่าวธรรมใดว่าเป็นเครื่องทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพ แต่ธรรมเหล่านั้นไม่ได้ทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้อย่างแท้จริง ดังนี้ไม่มี

[๔] นิยยานิกธัมมเทสนา บุคคลที่จะกล่าวคัดค้านพระองค์ว่า ท่านแสดงธรรมเพื่อประโยชน์อย่างใด แต่ธรรมนั้นไม่ได้อำนวยประโยชน์เช่นนั้นแก่ผู้ปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ดังนี้ไม่มี

เวสารัชชญาณ ๔ นี้ เป็นพระปรีชาญาณอันเป็นคุณสมบัติพิเศษของพระพุทธเจ้า ทำให้พระองค์ทรงแกล้วกล้าในการประกาศตนท่ามกลางประชุมชนและสังคมโลกว่า พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูอย่างแท้จริง เพราะไม่ทรงเล็งเห็นว่า ใคร ๆ จักคัดค้านพระองค์โดยเหตุผลที่เป็นจริงได้ ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยเวสารัชชกรณธรรม คือ ธรรมที่เป็นเหตุให้พระองค์ทรงได้บรรลุถึงเวสารัชชญาณ มี ๕ ประการ คือ

[๑] สัทธาสัมปทา พระองค์ทรงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาในหนทางแห่งสัมมาสัมโพธิญาณอย่างไม่หวั่นไหว มุ่งมั่นในการบำเพ็ญบารมีจนได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

[๒] สีลสัมปทา พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยอธิศีล อันยิ่งยวด ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนได้

[๓] พาหุสัจจสัมปทา พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยพาหุสัจจะ คือ ความรอบรู้ในสรรพสิ่งอย่างทั่วถึงและถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น จนได้นามว่า พระสัพพัญญุตญาณ

[๔] วิริยารัมภสัมปทา พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ มุ่งมั่นในการชำระสันดานของพระองค์ให้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสและวาสนาทั้งปวง แล้วจาริกแสดงธรรมโปรดสัตว์ให้ได้ตรัสรู้ตาม โดยไม่ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก

[๕] ปัญญาสัมปทา พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยพระอธิปัญญาอันยิ่งใหญ่ ยากที่จะหาผู้ได้เสมอเหมือน จนได้รับพระสมญานามว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า

๔] สุคะโต เป็นผู้เสด็จไปแล้วด้วยดี คือ เสด็จไปสู่ความประเสริฐ อันได้แก่ พระอมตมหานิพพาน อันไม่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไม่มีกิเลสและกองทุกข์ใด ๆ เจือปน เป็นความสุขอันประณีตเยือกเย็น เป็นสันติภาพอย่างแท้จริง และ

๕] โลกะวิทู ทรงรู้แจ้งโลกทั้ง ๓ คือ

[๑] สังขารโลก โลกคือสังขาร อันเป็นสรรพสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นทั้งที่มีใจครองและไม่มีใจครอง

[๒] โอกาสโลก โลกคือแผ่นดิน อันเป็นที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์โลก มารโลก เทวโลก พรหมโลก และภพภูมิต่าง ๆ ใน ๓๑ ภูมิ

[๓] สัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ทั้งปวงที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

พระองค์ทรงทราบโลกทั้งปวงว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร มีความเป็นไปอย่างไร และจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

๖] อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ ทรงเป็นสารถีผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีศาสดาใดเสมอเหมือน ด้วยเครื่องฝึกคือธรรมอาชญา ทำให้บุคคลผู้ได้รับการฝึกฝนนั้นเข้าถึงความประเสริฐ เจริญรอยตามพระองค์ เป็นพระอริยสาวก ๔ คู่ ๘ บุคคล

๗] สัตถา เทวะมะนุสสานัง ทรงเป็นศาสดาของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์มิใช่จะทรงสั่งสอนแต่มนุษย์เท่านั้น แม้แต่เทวดา มาร และพรหมทั้งหลาย ตลอดถึงเหล่าสัตว์ทุกจำพวก ก็ได้รับประโยชน์จากพระสัทธรรมคำสอนของพระองค์ด้วย ตามสมควรแก่อุปนิสัยของตน พระองค์จึงทรงเป็นครูผู้วิเศษ ที่สามารถสั่งสอนให้สำเร็จประโยชน์ได้ทั้ง ๓ ประการ คือ

[๑] ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน

[๒] สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ในโลกหน้า หรือ ภายภาคหน้า

[๓] ปรมัตถะ ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน

ซึ่งไม่มีศาสดาใดเสมอเหมือนได้

๘] พุทโธ ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม พระองค์ทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยมด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ทรงรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง ทรงดำเนินชีวิตด้วยพระปัญญานั้น โดยไม่หลับไหลด้วยอำนาจกิเลสเหมือนดังสัตว์ทั้งหลาย ทรงปลอดโปร่งโล่งพระทัย เพราะไม่มีอวิชชาปิดกั้นไว้ให้มืดมิดอีกต่อไป

๙] ภะคะวา ทรงเป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ได้อย่างถูกต้องตามอุปนิสัยที่สั่งสมมา ดุจหมอผู้วิเศษ สามารถวางยาให้เหมาะกับโรคได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีผลเสียข้างเคียงเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง เพราะฉะนั้น บุคคลที่พระองค์แสดงธรรมโปรด จึงสามารถหายขาดจากโรค คือ กิเลสทั้งปวง ที่เสียดแทงมาหลายภพชาติ กลายเป็นบุคคลผู้ไม่มีโรคคือกิเลสเสียดแทงอีกต่อไป อนึ่ง พระองค์ทรงได้พระนามว่า ภควา แปลว่า ทรงเป็นผู้มีโชคลาภ คือ

[๑] โชคลาภในชาติกำเนิด ทรงเกิดเป็นโอรสแห่งพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาผู้มีบุญญาธิการได้สั่งสมมาดีแล้ว เป็นองค์รัชทายาทแห่งนครกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ทรงเพียบพร้อมไปด้วยพระรูปสมบัติอันงดงาม สมบูรณ์ด้วยความสุขนานัปประการ ยากที่จะหาบุคคลเสมอเหมือน ทรงเพียบพร้อมด้วยศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ในโลกถึง ๑๘ ศาสตร์สาขา

[๒] โชคลาภในทางธรรม ทรงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม ไม่มีสมบัติใด ๆ ที่จะเทียมเท่าได้

[๓] โชคลาภในทางบริวาร ทรงมีพระสาวกที่สมบูรณ์ด้วยศีลาทิคุณห้อมล้อมช่วยเหลือในการประกาศพระศาสนาให้แผ่ไพศาลทั่วชมพูทวีป

พระคุณทั้ง ๙ ประการนี้ เมื่อสรุปย่อลง ก็เหลือ ๓ ประการ คือ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ

๑] พระบริสุทธิคุณ พระองค์ทรงชำระสะสางพระอุปนิสัยสันดานของพระองค์เองให้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสและเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง

๒] พระปัญญาคุณ พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ อันไม่มีใครสามารถจะรู้เทียมเท่าได้

๓] พระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระกรุณาอันยิ่งในสรรพสัตว์ ทรงมีพระทัยมุ่งมั่นที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ออกจากสังสารทุกข์ทั้งปวง ทรงหวังประโยชน์ ๓ ประการแก่สัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะแต่อย่างใด

ในพระคุณทั้งปวงที่กล่าวมาโดยย่อนี้ ถ้าบุคคลที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ย่อมทำให้ไม่มั่นใจในพระองค์ท่าน จึงเกิดความรวนเรลังเลใจสงสัยว่า องค์พระพุทธเจ้านั้น ทรงมีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นแต่เพียงคนอุปโลกน์ขึ้น เพื่อให้คนเกิดความศรัทธาเชื่อถือโดยไร้ความจริง

๒. ธัมเม กังขะติ ความสงสัยในคุณของพระธรรม หมายความว่า บุคคลที่ยังไม่เชื่อมั่นในพระสัทธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า ที่เป็นสวากขาตธรรม ๑๐ ประการได้แก่ พระปริยัติสัทธรรม คือ พระไตรปิฏก ๑ และมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ หรือย่อลงเป็น ๓ คือ พระปริยัติสัทธรรม ๑ พระปฏิบัติสัทธรรม ๑ พระปฏิเวธสัทธรรม ๑ จะเป็นตามที่ปรากฏอยู่ทั่วไปหรือไม่ หรือว่ามีคนหัวโจก อุปโลกน์แต่งขึ้น เพื่อหลอกให้คนเชื่อถือศรัทธาและยึดถือปฏิบัติตามโดยไร้หลักฐานความจริง หรือสงสัยว่า พระปริยัติสัทธรรม จะสามารถเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องได้หรือไม่ พระปฏิบัติสัทธรรม จะเป็นหนทางให้ถึงความดับทุกข์ได้จริงหรือไม่ พระปฏิเวธสัทธรรม คือ การบรรลุมรรค ผล นิพพาน จะมีจริงหรือไม่

๓. สังเฆ กังขะติ ความสงสัยในคุณของพระสงฆ์ หมายความว่า บุคคลที่ยังไม่เชื่อมั่นในพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมเกิดความสงสัยว่า พระสงฆ์สาวกจะเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมแล้ว เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ของที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทาน เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ดังที่สวดพรรณนากันนั้นจะมีจริงเป็นจริงหรือไม่ เพราะสัตว์โลกทั้งปวงเต็มไปด้วยกองกิเลสกลุ้มรุมอยู่ในจิตใจ เต็มไปด้วยมายาความหลอกลวง จะมีผู้ฝึกหัดปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากกิเลสเหล่านี้ได้จริงหรือ หรือว่า เป็นแต่เพียงอุปโลกน์ตั้งขึ้นมาให้คนเคารพเชื่อถือ เพื่อหวังประโยชน์บางประการเท่านั้น

๔. สิกขายะ กังขะติ ความสงสัยในเรื่องไตรสิกขา หมายความว่า บุคคลที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในหลักของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ย่อมเกิดความสงสัยว่า ไตรสิกขาที่กล่าวถือกัน หรือที่ปฏิบัติกันอยู่นี้ จะเป็นแนวทางให้ถึงความดับทุกข์ บรรลุถึงพระนิพพาน บริสุทธิ์หมดจดจากกองกิเลสได้จริงหรือไม่ หรือว่า ยังมีแนวทางอื่นอยู่อีก ดังนี้เป็นต้น

๕. ปุพพันเต กังขะติ ความสงสัยในขันธ์ อายตนะ ธาตุ ที่ล่วงไปแล้ว หมายความว่า บุคคลที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอดีตชาติของตนเองและของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเคยเกิดมาแล้วนับภพนับชาติไม่ถ้วน มีอัตภาพที่แตกต่างออกไปมากมาย เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานบ้าง เพราะอำนาจแห่งอกุศลกรรม หรือมีอัตภาพ เป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหมบ้าง เพราะอำนาจแห่งกุศลกรรมแต่ละประเภท กลับมีความเห็นผิดว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเกิดมาจากพ่อแม่ มีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่ทำให้เกิด ไม่เห็นมีใครรู้ตนเองว่าเกิดมาจากไหน จากภพภูมิใด จึงทำให้เกิดความสงสัยในความเป็นไปของรูปนามขันธ์ ๕ ในอดีตที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากระลึกชาติไม่ได้ หรือขาดสติปัญญาในการพิจารณาเหตุผลของความวนเวียนแห่งวัฏฏจักร จึงทำให้เกิดความสงสัยในอัตภาพที่เกิดแล้วในอดีต

๖. อะปะรันเต กังขะติ ความสงสัยในขันธ์ อายตนะ ธาตุ ที่เป็นอนาคต หมายความว่า บุคคลที่ไม่มีความรู้ในความเป็นไปแห่งอนาคตชาติข้างหน้าของตนเองและของสัตว์ทั้งหลายว่าจะต้องเกิดอีก เพราะยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ อัตภาพที่จะปรากฏเกิดขึ้นในภพหน้าเมื่อตายแล้ว ย่อมมีอีกแน่นอน แต่เพราะมีความคิดความเห็นว่า อัตภาพร่างกายเกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่ทำให้เกิดขึ้นมา เมื่อตายแล้ว ก็เอาไปเผาไฟ หรือฝังดินสูญสลายไปกลายเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกว่าไปเกิดที่ไหนเลย ดังนี้เป็นต้น เพราะไม่มีอนาคตังสญาณ คือ ความรู้เหตุในอนาคต หรือขาดสติปัญญาในการพิจารณาเหตุผลแห่งความวนเวียนแห่งวัฏฏจักร จึงเกิดความสงสัยในเรื่องภพภูมิข้างหน้าว่าจะมีอีกหรือไม่ จึงเกิดความรวนเรลังเลสงสัยในอัตภาพที่จะปรากฏเกิดขึ้นในภพหน้า

๗. ปุพพันตาปะรันเต กังขะติ สงสัยในขันธ์ อายตนะ ธาตุ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายความว่า บุคคลผู้ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความเป็นไปของอัตภาพร่างกายที่เป็นอดีต อนาคต และที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างถูกต้อง คือ ไม่รู้ว่าอดีตก็เคยเกิดมาแล้ว และอนาคตข้างหน้าก็จะต้องเกิดอีก เนื่องจากยังมีกิเลสอยู่ แม้อัตภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็สืบเนื่องมาจากผลกรรมในอดีตส่งมาให้เกิดเช่นเดียวกัน ดังนี้เป็นต้น จึงทำให้เกิดความสงสัยไม่มั่นใจในความรู้หรือความเชื่อนั้น

๘. อิทัปปัจจะยะตา ปะฏิจจะสะมุปปันเนสุ ธัมเมสุ กังขะติ สงสัยในธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น หมายความว่า บุคคลผู้ไม่มีความรู้ความเข้าใจในความเป็นไปแห่งสังขารทั้งปวง ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อย่างแท้จริงว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงได้เกิดมีขึ้น หรือเพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับไปด้วย ดังนี้เป็นต้น เนื่องจากขาดประสบการณ์การศึกษาเรียนรู้ธรรมะที่ถูกต้องและละเอียดลึกซึ้งดีพอ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าจะเป็นไปได้หรือไม่

ความสงสัยทั้ง ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมทำให้วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยที่จัดเป็นนิวรณ์เกิดขึ้นขวางกั้นไม่ให้ตัดสินใจเชื่อถือและปฏิบัติตามในหนทางแห่งสุคติและพระนิพพานอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความรวนเรลังเล ไม่สามารถตัดสินใจทำสิ่งนั้น ๆ ลงไป


เกี่ยวกับตำราอภิธรรม ออนไลน์ (Disclaimer)
ตำราอภิธรรมออนไลน์ พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของอภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดระฆังฯ วัดญาณเวศกวัน และ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อนำเสนอสื่อธรรมสำหรับการศึกษาค้นคว้า โดยได้รับอนุญาต และเอกสารต้นฉบับจากผู้เขียน ดังนี้
(๑) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๒), จิตปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๒) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๖), เจตสิกปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๓) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๖๓), รูปปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
ผู้สนใจศึกษาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ และหลักสูตรการศึกษาได้ที่ สำนักงานอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๗) แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร ๐๒ ๔๑๑ ๔๕๔๖, ๑๒ ๔๑๒ ๑๐๘๔, ๐๘๖ ๐๓๘ ๒๙๓๓


  |