ไปยังหน้า : |
อักขณกาลสูตร
[สมัยที่พลาดโอกาสประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการ]
ยุคสมัยที่บุคคลไม่มีโอกาสได้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานั้น เรียกว่า อักขณกาล แปลว่า สมัยที่ไม่เหมาะควรแก่การงานอันเป็นกุศล คือ สมัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมอยู่ แต่ว่า บุคคลนั้นตกอยู่ในฐานะ ๘ ประการ คือ
๑. เกิดอยู่ในนรก
๒. เกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน
๓. เกิดในกำเนิดเปรต
๔. เกิดเป็นเทพที่อายุยืนเกินไป [เกิดเป็นอรูปพรหม]
๕. เกิดอยู่ในถิ่นที่ห่างไกล หรืออยู่ในถิ่นของพวกคนป่าคนดงที่ไม่มีความรู้
๖. เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิอย่างเหนียวแน่น ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
๗. เป็นคนด้อยปัญญา โง่เขลา
๘. เกิดในสถานที่ที่พระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงธรรมโปรด
เพราะเหตุปัจจัยเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงทำให้บุคคลนั้นพลาดโอกาสที่จะได้ฟังพระสัทธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังพระพุทธภาษิตที่มาในอักขณสูตร พระสุตตันตปิฎก ปฐมปัณณาสก์ อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนทั้งหลายผู้มิได้สดับพระสัทธรรมย่อมพูดกันว่า ชาวโลกทำงานกันในเวลา ดังนี้ แต่ว่า ปุถุชนเหล่านั้นไม่รู้ว่าเวลาใดควรทำ เวลาใดไม่ควรทำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวลาที่มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการประพฤติพรหมจรรย์ มี ๘ ประการ ๘ ประการนั้นเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรมอันนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตประกาศแล้ว ตถาคตย่อมแสดงอยู่ แต่ว่าบุคคลนั้นเข้าถึงนรกเสีย เวลานี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นประการที่ ๑ บุคคลนั้นเข้าถึงกำเนิดสัตว์เดรัจฉานเสีย เป็นประการที่ ๒ บุคคลนั้นเข้าถึงปิตตวิสยเปรตเสีย เป็นประการที่ ๓ บุคคลนั้นเข้าถึงหมู่เทพผู้มีอายุยืนเกินไปหมู่ใดหมู่หนึ่ง เป็นประการที่ ๔ บุคคลนั้นกลับมาเกิดในปัจจันตชนบทและอยู่ในพวกคนป่าคนดงที่ไม่มีความรู้อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไปมาหาสู่ เป็นประการที่ ๕ บุคคลนั้นแม้จะเกิดในมัชฌิมประเทศใกล้พระพุทธศาสนาแต่ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริตไปว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล เป็นต้น เป็นประการที่ ๖ อนึ่ง แม้บุคคลนั้นจะเกิดในมัชฌิมประเทศ แต่เป็นคนโง่เขลา ด้อยปัญญา หรือบ้าใบ้ ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้ เป็นประการที่ ๗ อนึ่ง ธรรมอันนำความสงบมาให้นั้น ย่อมเป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตประกาศแล้ว แต่ตถาคตยังมิได้แสดง ถึงแม้บุคคลนั้นจะกลับมาเกิดในมัชฌิมประเทศ และมีปัญญา ไม่โง่เขลา ไม่บ้าใบ้ สามารถที่จะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้ก็ตาม ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวลานี้ก็มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เช่นเดียวกัน เป็นประการที่ ๘ ฯ