ไปยังหน้า : |
สติ เป็นเบื้องต้น เป็นมูลเหตุให้เกิดกุศลธรรมต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว เพราะเมื่อสติเกิดขึ้นแล้ว ย่อมทำให้บุคคลระลึกนึกรู้ในสิ่งที่ดีงามต่าง ๆ ได้ และเป็นปัจจัยให้เกิดศรัทธา ความเชื่อความเลื่อมใสในสิ่งที่ดีงาม มีคุณพระรัตนตรัย กรรมและผลของกรรม เป็นต้น เกิดวิริยะ ความเพียรพยายามในสิ่งที่ดีงาม มีเพียรละอกุศล เพียรเจริญกุศล เป็นต้น และเกิดปัญญาสามารถพิจารณาให้รู้ซึ้งถึงเหตุผลของสิ่งนั้น ๆ ทำให้เกิดความมุ่งมั่นในการที่จะประกอบสิ่งที่ดีงามให้เกิดมีขึ้น และให้เพิ่มพูนขึ้นในขันธสันดานของตน
ในเบื้องต้น บุคคลอาจยังมีสติไม่สมบูรณ์ มักทำอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่เสมอ และไม่ค่อยคำนึงถึงกิจการงานที่เป็นประโยชน์ มักทำไปตามสัญชาตญาณ ตามความรู้สึกนึกคิดที่ได้สั่งสมอบรมมา แต่เมื่อมาฝึกฝนอบรมสติให้เกิดมีขึ้นในสันดาน ก็เริ่มมีความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่ดีงาม รู้จักคำนึกถึงโทษและประโยชน์ ข้อดี ข้อด้อยของสิ่งนั้น ๆ เห็นโทษของการขาดสติและเห็นอานิสงส์ของการมีสติ จึงพยายามอบรมสติให้เกิดมีและเพิ่มพูนขึ้นในสันดานของตนเป็นลำดับ เมื่อบุคคลมีสติที่อบรมดีแล้ว ย่อมสามารถทำ พูด คิด หรือประกอบกิจการงานต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง และเกิดผลดี เกิดประโยชน์โสตถิผล แก่บุคคลนั้นมากมาย
เพราะฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า สตินี้เป็นพหุปปการธรรม คือ ธรรมที่มีอุปการมาก ทั้งคดีโลกและคดีธรรม เมื่อบุคคลใช้สติประกอบกิจการงานอันเป็นคดีโลก ย่อมสำเร็จประโยชน์โสตถิผลอย่างมหาศาล เป็นทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ช่วยให้ได้รับความสุขในโลกปัจจุบัน หรือเมื่อบุคคลเป็นผู้พากเพียรในการประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องใช้สติเป็นเครื่องระลึกรู้และกำกับดูแล ให้จิตมุ่งไปสู่หนทางแห่งมรรควิถี ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมนั้นๆ จนบรรลุถึงความสำเร็จ ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ และสมควรแก่บารมีธรรมของตน ทำให้ได้เสวยสัมปรายิกัตถประโยชน์ ตลอดจนบรรลุถึงปรมัตถประโยชน์ คือ มรรค ผล นิพพานเป็นปริโยสาน