| |
กัมมสมุฏฐานในภูมิทั้ง ๔   |  

ต่อไปนี้จักได้แสดงกัมมสมุฏฐานที่เป็นไปในภูมิทั้ง ๔ ประเภท คือ อบายภูมิ ๔ กามสุคติภูมิ ๗ รูปภูมิ ๑๕ และอสัญญสัตตภูมิ ๑ ตามลำดับ

๑. กัมมสมุฏฐานในอบายภูมิ ๔ ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่ประกอบกับอกุศลจิต ๑๒ เป็นปัจจัยทำให้กัมมชรูป ๒๐ เกิดขึ้นแก่อบายสัตว์ทั้ง ๔ ตามสมควรแก่สัตว์นั้น ๆ ซึ่งเกิดพร้อมด้วยอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากปฏิสนธิจิต ๑ อัญญสมานเจตสิกที่ประกอบ ๑๐ ในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล หมายความว่า อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิต ๑ อัญญสมานเจตสิก ๑๐ [เว้นวิริยะ ปีติ ฉันทะ] ให้ผลเป็นปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ ในอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ส่วนในปวัตติกาลนั้นให้ผลเป็นอกุศลวิบากจิต ๗ พร้อมด้วยสัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไต่สวนปัญจารมณ์ และหน่วงเหนี่ยวอารมณ์ ๖ ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ทางทวาร ๖ เมื่อถึงเวลาจุติคือตาย อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิต ๑ พร้อมด้วยอัญญสมานเจตสิก ๑๐ [เว้นวิริยะ ปีติ ฉันทะ] ที่ประกอบ ย่อมทำหน้าที่จุติ คือ การเคลื่อนจากภพชาติเก่า เป็นอันสิ้นสุดภพชาติที่เกิดอยู่ของบุคคลนั้น

๒. กัมมสมุฏฐานในกามสุคติภูมิ ๗ ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่ประกอบกับมหากุศลจิต ๘ เป็นปัจจัยทำให้กัมมชรูป ๒๐ เกิดขึ้นแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ตามสมควรแก่บุคคลนั้น ๆ หมายความว่า มหากุศลจิตที่เป็นโอมกะนั้น ในปฏิสนธิกาล ย่อมให้ผลเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากปฏิสนธิจิต ๑ อัญญสมานเจตสิก ๑๐ [เว้นวิริยะ ปีติ ฉันทะ] พร้อมด้วยกัมมชรูป ๒๐ ตามสมควร เกิดขึ้นในมนุษยภูมิและเกิดในจาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นมนุษย์และเทวดาประเภทสุคติอเหตุกบุคคล ส่วนในปวัตติกาล ย่อมให้ผลเป็นอเหตุกกุศลวิบากจิต ๘ เกิดขึ้นทำการรับรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร และเป็นตทาลัมพณะหน่วงเหนี่ยวอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ที่เป็นอิฏฐารมณ์ [ทั้งอิฏฐมัชฌัตตารมณ์และอติอิฏฐารมณ์] ฝ่ายมหากุศลจิตที่เป็นอุกกัฏฐะนั้น ย่อมให้ผลเป็นมหาวิบากจิต ๘ เฉพาะดวงตามสภาพของตน ๆ ในปฏิสนธิกาล ย่อมให้ผลเป็นปฏิสนธิจิตและเจตสิกที่ประกอบ พร้อมด้วยกัมมชรูป ๒๐ ตามสมควร กล่าวคือ เป็นมนุษย์และเทวดาในกามสุคติภูมิ ๗ ส่วนในปวัตติกาล ย่อมให้ผลเป็นภวังค์และตทาลัมพณะ กล่าวคือ การรักษาภพชาติและการหน่วงเหนี่ยวอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ที่เป็นอิฏฐารมณ์ ทั้งอิฏฐมัชฌัตตารมณ์และอติอิฏฐารมณ์ ตามประเภทแห่งมหาวิบากจิตที่เป็นโสมนัสสเวทนาและอุเบกขาเวทนา หมายความว่า ถ้าตทาลัมพณจิตเกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ย่อมหน่วงเหนี่ยวอารมณ์ที่เป็นอติอิฏฐารมณ์ แต่ถ้าตทาลัมพณจิตเกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ย่อมหน่วงเหนี่ยวอารมณ์ที่เป็นอิฏฐมัชฌัตตารมณ์ เมื่อถึงเวลาจุติคือตาย อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิต ๑ พร้อมด้วยอัญญสมานเจตสิก ๑๐ [เว้นวิริยะ ปีติ ฉันทะ] ที่ประกอบ ย่อมทำหน้าที่จุติ คือ การเคลื่อนจากภพชาติเก่า สำหรับมนุษย์และจาตุมหาราชิกเทวดาที่เป็นสุคติอเหตุกบุคคล ส่วนมหาวิบากจิต ๘ พร้อมด้วยเจตสิกที่ประกอบกับมหาวิบากจิตแต่ละดวง ย่อมทำหน้าที่จุติ คือ การเคลื่อนจากภพชาติเก่า สำหรับมนุษย์และเทวดาที่เป็นทวิเหตุกบุคคลและติเหตุกบุคคลในกามสุคติภูมิ ๗ เป็นอันสิ้นสุดภพชาติที่เกิดอยู่ของบุคคลนั้น ๆ

๓. กัมมสมุฏฐานในรูปภูมิ ๑๕ [เว้นอสัญญสัตตภูมิ] ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่ประกอบกับรูปาวจรกุศลจิต ๕ เป็นปัจจัยทำให้กัมมชรูป ๑๕ [เว้นฆานะ ชิวหา กายะ และภาวรูป ๒] เกิดขึ้นแก่พรหมทั้งหลายในรูปภูมิ ๑๕ [เว้นอสัญญสัตตภูมิ] หมายความว่า รูปาวจรกุศลจิต ๕ ย่อมให้ผลเป็นรูปาวจรวิบากจิต ๕ เฉพาะดวงตามสภาพของตน ๆ ในปฏิสนธิกาล ย่อมให้ผลเป็นรูปาวจรปฏิสนธิจิต ๕ ดวงใดดวงหนึ่งตามประเภทแห่งภูมิ ในรูปภูมิ ๑๕ [เว้นอสัญญสัตตภูมิ] กล่าวคือ รูปาวจรปฐมฌานวิบากจิต ๑ พร้อมด้วยเจตสิกที่ประกอบ ๓๕ ทำหน้าที่เป็นรูปาวจรปฐมฌานปฏิสนธิจิตและเจตสิก พร้อมด้วยกัมมชรูป ๑๕ ในปฐมฌานภูมิ ๓ ภูมิใดภูมิหนึ่ง ตามสมควรแก่ฌานของบุคคลนั้น ๆ ในปวัตติกาล ย่อมให้ผลเป็นภวังค์ คือ การรักษาภพชาติในปฐมฌานภูมิ ๓ ภูมิใดภูมิหนึ่ง เมื่อถึงเวลาจุติคือตาย รูปาวจรปฐมฌานวิปากจิต ๑ พร้อมด้วยเจตสิกที่ประกอบ ๓๕ ย่อมทำหน้าที่จุติ คือ การเคลื่อนจากภพชาติเก่า เป็นอันสิ้นสุดภพชาติที่เกิดอยู่ของบุคคลนั้น ๆ ดังนี้เป็นต้น

๔. กัมมสมุฏฐานในอสัญญสัตตภูมิ ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่ประกอบกับรูปาวจรปัญจมฌานกุศลจิต ที่เกี่ยวเนื่องด้วยสัญญาวิราคภาวนา [ภาวนาที่เกี่ยวเนื่องด้วยความเบื่อหน่ายในความรู้สึกต่าง ๆ จึงทำให้ไม่ปรารถนาที่จะมีจิต] เป็นปัจจัยทำให้กัมมชรูป ๑๒ คือ อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ อุปจยรูป ๑ สันตติรูป ๑ เกิดขึ้นแก่อสัญญสัตตพรหมทั้งหลาย ได้แก่ การเกิดขึ้นแห่งชีวิตนวกกลาป ทั้งในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล ในอสัญญสัตตภูมิ อนึ่ง อสัญญสัตตพรหมทั้งหลายเป็นผู้ที่ไม่มีจิตเจตสิกเกิดเลย เพราะฉะนั้น วิถีจิต คือ การรับรู้อารมณ์ของพรหมเหล่านี้จึงไม่มี เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยกรรมเก่าอย่างเดียว และมีแต่ชีวิตนวกกลาปรูปเท่านั้นที่เกิดขึ้นและดำเนินไป จนกว่าจะหมดอายุขัยในอสัญญสัตตภูมินั้น กล่าวคือ มีอายุขัยถึง ๕๐๐ มหากัปป์ และไม่มีการตายก่อนกำหนดอายุขัย ทั้งไม่ถูกทำลายด้วยภัยต่าง ๆ คือ ไฟ น้ำ ลม ด้วย เมื่อถึงเวลาจุติคือตาย ชีวิตนวกกลาปย่อมดับเป็นครั้งสุดท้าย เป็นอันสิ้นสุดภพชาติในอสัญญสัตตภูมิของ อสัญญสัตตพรหมนั้น จัดเป็นรูปจุติ คือ การตายด้วยรูป ได้แก่ ชีวิตนวกกลาปดับลงเป็นครั้งสุดท้ายนั่นเอง


เกี่ยวกับตำราอภิธรรม ออนไลน์ (Disclaimer)
ตำราอภิธรรมออนไลน์ พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของอภิธรรมมหาวิทยาลัย วัดระฆังฯ วัดญาณเวศกวัน และ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อนำเสนอสื่อธรรมสำหรับการศึกษาค้นคว้า โดยได้รับอนุญาต และเอกสารต้นฉบับจากผู้เขียน ดังนี้
(๑) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๒), จิตปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๒) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๕๖), เจตสิกปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๒, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
(๓) พระมหาชินวัฒน์ จกฺกวโร (๒๕๖๓), รูปปรมัตถ์: คู่มือศึกษาอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉจที่ ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๑.
ผู้สนใจศึกษาสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือ และหลักสูตรการศึกษาได้ที่ สำนักงานอภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร (คณะ ๗) แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร ๐๒ ๔๑๑ ๔๕๔๖, ๑๒ ๔๑๒ ๑๐๘๔, ๐๘๖ ๐๓๘ ๒๙๓๓


  |